Content on this page:
Content on this page:
บทนำ
ระบาดวิทยา
จากข้อมูลการสำรวจในประเทศจีนของ China Asthma and Risk Factors Epidemiologic (CARE) ในปี พ.ศ. 2553–2555 พบว่ามีความชุกของผู้ป่วยโรคหืดในจีนแผ่นดินใหญ่ที่มีอายุ ≥14 ปี อยู่ที่ 1.24% สำหรับข้อมูลการสำรวจของ Chinese Pulmonary Health ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555–2558 มีความชุกของโรคเพิ่มเป็น 4.2%
จากข้อมูลการสำรวจในประเทศอินเดียของ The Indian Study on Epidemiology of Asthma, Respiratory Symptoms and Chronic Bronchitis (INSEARCH) พบว่ามีผู้ป่วยโรคหืดประมาณ 17.23 ล้านคนในประเทศอินเดีย โดยมีความชุกอยู่ที่ 2.05% ในประชากรอายุ ≥15 ปี และจากข้อมูลของ Global Asthma Network (GAN) ในปี พ.ศ. 2565 พบว่าในประเทศอินเดียมีผู้ป่วยโรคหืดเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 35 ล้านคน
สำหรับข้อมูลในประเทศไทย แม้จะมีการเข้าถึงยาควบคุมอาการของโรคและแนวทางรักษาที่ดีขึ้นตามแนวทางของ GAN แต่ความชุกของโรคหืดยังคงสูงอยู่ โดยการศึกษาในช่วงปี พ.ศ. 2544–2545 พบความชุกของโรคในกลุ่มอายุ 20–44 ปีที่ 3%
ข้อมูลจาก National Health and Morbidity Survey ของประเทศมาเลเซียในปี พ.ศ. 2549 พบว่า มีความชุกของผู้ป่วยโรคหืดในประชากรอายุ ≥18 ปีอยู่ที่ 4.5%
สำหรับข้อมูลในประเทศฟิลิปปินส์จาก National Nutrition and Health Survey ระบุว่าล่าสุดมีความชุกของโรคอยู่ที่ 8.7%
Global Initiative for Asthma รายงานว่าในปี พ.ศ. 2547 ประเทศเกาหลีใต้มีความชุกของผู้ป่วยโรคหืดอยู่ที่ 3.9% ส่วนข้อมูลของ Korean National Health and Nutrition Examination Survey (KNHANES)
ในปี พ.ศ. 2551 ระบุว่ามีผู้ป่วยโรคหืดที่ 2.0% อย่างไรก็ตามในปีเดียวกัน ข้อมูลจาก Korean National Insurance รายงานว่ามีผู้ป่วยถึง 4.7%
โรคหืดพบในวัยเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ โดยในเด็กพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง ในทางตรงกันข้าม ในวัยผู้ใหญ่จะพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย
พยาธิสรีรวิทยา

การอักเสบของทางเดินหายใจ โดยเฉพาะการอักเสบชนิดที่ 2 (type 2 Inflammation) เป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในพยาธิสรีรวิทยาของโรคหืด ซึ่งคล้ายกับปฏิกิริยาภูมิไวเกิน (hypersensitivity reactions) ในระยะเริ่มต้นและระยะหลัง เมื่อร่างกายได้รับสารก่อภูมิแพ้ (allergen) ครั้งแรก ระบบภูมิคุ้มกันจะถูกกระตุ้นให้สร้าง immunoglobulin E (IgE) antibodies ต่อสารนั้นและไปจับอยู่บน mast cell เมื่อร่างกายได้รับ allergen ชนิดเดิมซ้ำ allergen จะไปจับกับ IgE antibodies ที่จำเพาะบน mast cell ทำให้เกิดปฏิกิริยา mast cell degranulation เกิดการหลั่งสารก่ออักเสบ อย่างรวดเร็วจนทำให้เกิดอาการของโรคหืด
นอกจากนี้ การอักเสบของทางเดินหายใจยังกระตุ้นโดย CD4+ Type 2 T-helper cells ทำให้เกิดการสร้างสาร interleukin-4 (IL-4), interleukin-5 (IL-5) และ interleukin-13 (IL-13) โดย IL-4 มีบทบาทในการกระตุ้นกระบวนการ B-cell isotype switching เพื่อสร้าง IgE ส่วน IL-5 มีหน้าที่ควบคุมการทำงานของ eosinophil และ IL-13 มีส่วนทำให้เกิดภาวะ airway hyperresponsiveness, goblet cell metaplasia และ mucus hypersecretion
จากการศึกษาล่าสุดพบว่า innate lymphoid cells (ILC2) หรือการอักเสบที่ไม่ใช่ชนิดที่ 2 (non-type 2 inflammation) มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคหืดเช่นกัน โดยอาจถูกกระตุ้นจากสารอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ allergen เช่น สารระคายเคือง มลภาวะ ไวรัส เป็นต้น โดยเซลล์เหล่านี้สามารถผลิต IL-5 และ IL-13 ได้เช่นกัน
Risk Factors
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้อาการของโรคหืดแย่ลง
ประเมินปัจจัยเสี่ยงของผู้ป่วยเป็นระยะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้ป่วยมีประวัติอาการกำเริบเฉียบพลัน (exacerbation) การประเมินสามารถทำได้โดยการวัดปริมาตรอากาศที่หายใจออกใน 1 วินาที (forced expiratory volume in 1 second; FEV1) ตั้งแต่เริ่มการรักษาและหลังจากได้รับการรักษาด้วยยาควบคุมไปแล้ว 3–6 เดือน
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดอาการกำเริบเฉียบพลัน
- ยาและการรักษา ได้แก่ การใช้ยาช่วยบรรเทาอาการบ่อยครั้ง (โดยเฉพาะยากลุ่ม short-acting beta2-agonist; SABA) การได้รับยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดสูดพ่น (inhaled corticosteroids; ICS) ไม่เพียงพอ การใช้ยากลุ่ม beta-blockers การใช้ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (non-steroidal anti-inflammatory drugs; NSAIDs) และเทคนิคการใช้ยาสูดพ่นที่ไม่ถูกต้อง
- ภาวะทางสุขภาพ ได้แก่ โรคอ้วน โรคกรดไหลย้อน โรคไซนัสอักเสบเรื้อรัง การแพ้อาหาร
- สิ่งกระตุ้นจากภายนอก ได้แก่ สารก่อภูมิแพ้ ควันบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า มลพิษทางอากาศ สารซัลไฟต์ (sulfites)
- การทำงานของปอด ได้แก่ ค่า FEV1 ต่ำ (<60% ของค่าที่คาดการณ์) มีการตอบสนองสูงต่อยาพ่นขยายหลอดลม (bronchodilator reversibility)
- ผลการตรวจห้องปฏิบัติการในรายที่มีการอักเสบประเภทที่ 2 ได้แก่ eosinophils สูง มีค่า fractional concentration of exhaled nitric oxide (FENO) สูง
- ปัญหาทางจิตใจและสภาพเศรษฐกิจสังคม
- ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ได้แก่ มีประวัติใส่ท่อช่วยหายใจหรือนอนรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤตเนื่องจากโรคหืดมาก่อน หรือมีอาการกำเริบรุนแรง ≥1 ครั้งใน 12 เดือนที่ผ่านมา
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นเรื้อรัง
- ประวัติทางสุขภาพ ได้แก่ คลอดก่อนกำหนด น้ำหนักแรกเกิดต่ำ น้ำหนักทารกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ภาวะหลั่งเมือกมากเกินไปแบบเรื้อรัง
- การใช้ยา ได้แก่ การไม่ได้รับ ICS ในผู้ป่วยที่มีอาการกำเริบรุนแรง
- สิ่งกระตุ้นจากภายนอก ได้แก่ ควันบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า อาชีพการงานที่เกี่ยวข้องกับสารกระตุ้นให้เกิดอาการหืดกำเริบ
- ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่ ค่า FEV1 เริ่มต้นต่ำ ตรวจพบ eosinophil ในเลือดหรือเสมหะสูง
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงจากยา
- ผลข้างเคียงทั้งร่างกาย (systemic) ได้แก่ การได้รับยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดรับประทาน (oral corticosteroids; OCS) ต่อเนื่อง การได้รับ ICS ชนาดสูงเป็นเวลานาน การได้รับยาที่ยับยั้งเอนไซม์ CYP450
- ผลข้างเคียงเฉพาะที่ (local) ได้แก่ การได้รับ ICS ชนาดสูง วิธีการใช้ยาพ่นที่ไม่ถูกต้อง
การจำแนกโรค
- โรคหืดจากภูมิแพ้ (allergic asthma) มักพบในเด็ก ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหืด หรือมีประวัติโรคภูมิแพ้อื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (eczema) การแพ้อาหาร โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (allergic rhinitis) เป็นต้น
- โรคหืดแบบไม่เกี่ยวข้องกับภูมิแพ้ (non-allergic asthma) เป็นโรคหืดที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาภูมิแพ้
- โรคหืดที่เริ่มเป็นในผู้ใหญ่ (late-onset asthma) หรือโรคหืดเริ่มแรกในผู้ใหญ่ (adult-onset asthma) เป็นโรคหืดในรายที่เริ่มแสดงอาการและได้รับการวินิจฉัยครั้งแรกในช่วงวัยผู้ใหญ่
- โรคหืดที่มีทางเดินหายใจอุดกั้นถาวร (asthma with fixed airflow limitation) เป็นโรคหืดเกิดจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผนังทางเดินหายใจ (airway remodeling) จากการอักเสบเรื้อรัง ทำให้มีการอุดกั้นของทางเดินหายใจแบบถาวร
- โรคหืดในคนอ้วน (asthma with obesity) พบว่ามีอุบัติการณ์ของโรคหืดที่มีอาการแสดงชัดเจนมากขึ้นในคนอ้วน
- โรคหืดที่มีอาการไอเป็นอาการหลัก (cough variant asthma and cough-predominant asthma) อาการไออาจเป็นเพียงอาการเริ่มต้นของโรคหืด โดยพบความผิดปกติของการไหลเวียนอากาศเมื่อทำการทดสอบกระตุ้นหลอดลม (bronchial provocation test) อาจมี wheezing และการตอบสนองต่อยาขยายหลอดลมตามมาในภายหลังโรคหืดลักษณะนี้มักตอบสนองดีต่อการรักษาด้วยการใช้ ICS

สำหรับการจำแนกความรุนแรงของโรคหืดตามระดับการรักษาที่ผู้ป่วยได้รับมาก่อนหน้า และอาการ exacerbation สามารถจำแนกได้ดังนี้
- โรคหืดระดับเบา (mild asthma) หมายถึง โรคหืดที่สามารถคุมอาการได้ดีด้วยการรักษาขั้นที่ 1 หรือขั้นที่ 2 อย่างไรก็ตาม แนวทางของ GINA 2022 ไม่แนะนำให้ใช้การจำแนกชนิดนี้ เนื่องจากอาจทำให้ประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าความเป็นจริง แต่หากจำเป็นต้องใช้การจำแนกชนิดนี้ ต้องระลึกไว้เสมอว่าผู้ป่วยโรคหืดระดับเบานี้อาจมีการกำเริบรุนแรงหรือถึงแก่ชีวิตได้
- โรคหืดระดับปานกลาง (moderate asthma) หมายถึง โรคหืดที่สามารถควบคุมอาการได้ดีด้วยการรักษาขั้นที่ 3 หรือขั้นที่ 4
- โรคหืดระดับรุนแรง (severe asthma) หมายถึง โรคหืดที่ต้องการการรักษาด้วย ICS ขนาดสูงร่วมกับยา long-acting beta2-agonist (LABA) หรือควบคุมอาการไม่ได้ด้วยการรักษาดังกล่าว