Content:
การตรวจทางห้องปฎิบัติการและอื่น ๆ
Content on this page:
การตรวจทางห้องปฎิบัติการและอื่น ๆ
Content on this page:
การตรวจทางห้องปฎิบัติการและอื่น ๆ
การตรวจทางห้องปฎิบัติการและอื่น ๆ
การตรวจหาแอนติเจน (Detection of Antigens)
ความก้าวหน้าในการทดสอบด้วยวิธี ELISA และ dot blot ที่มุ่งตรวจหาแอนติเจนของโปรตีนเปลือกหุ้มไวรัส (envelope/membrane; E/M) และโปรตีนที่ไม่ใช่โครงสร้างไวรัส (non-structural protein; NS1) แสดงให้เห็นว่าสามารถตรวจพบแอนติเจนเหล่านี้ในระดับความเข้มข้นสูง (ที่อาจอยู่ในรูปของ immune complexes) ได้ในผู้ป่วยระยะเริ่มต้นของโรค รวมถึงในผู้ป่วยที่ติดเชื้อเดงกีทั้งแบบปฐมภูมิและทุติยภูมิได้นานถึง 6 วันหลังจากเริ่มมีอาการ
การตรวจ ELISA สำหรับโปรตีน NS1 ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประโยชน์ในการวินิจฉัยการติดเชื้อเดงกีระยะเฉียบพลัน NS1 เป็นโปรตีนที่สร้างขึ้นโดยไวรัสในตระกูล flavivirus ทั้งหมด และสามารถหลั่งออกจากเซลล์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมได้ โดยสามารถตรวจพบแอนติเจน NS1 ของไวรัสเดงกีในซีรั่มของผู้ป่วยที่ติดเชื้อได้เร็วถึงหนึ่งวันหลังเริ่มมีอาการ (post-symptom onset; PSO) และได้นานถึง 18 วันหลังเริ่มมีอาการ (days post onset; DPO) นอกจากนี้ยังอาจมีประโยชน์ในการวินิจฉัยแยกโรคในตระกูล flavivirus ต่าง ๆ เนื่องจากมีความจำเพาะเจาะจงสูง ชุดตรวจหาแอนติเจน NS1 มีจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ และสามารถใช้ได้ในห้องปฏิบัติการที่มีทรัพยากรจำกัด อีกทั้งยังให้ผลการตรวจได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง
Dengue_Diagnostics
การตรวจหาภูมิคุ้มกันของเชื้อ (Serology)
การทดสอบปฏิกิริยาการยับยั้งการจับกลุ่มของเม็ดเลือดแดง (hemagglutination inhibition; HI) เป็นการทดสอบที่มีความไวสูง ทำได้ง่าย และให้ผลที่สม่ำเสมอ ซึ่งต้องอาศัยการเก็บตัวอย่างซีรั่มคู่ (paired sera) ได้แก่ ตัวอย่างเลือดระยะเฉียบพลัน (acute phase) ที่เก็บในช่วงเข้ารับการรักษา และตัวอย่างเลือดระยะฟื้นตัว (convalescent phase) ที่เก็บหลังจากพ้นระยะวิกฤติแล้วประมาณ 10–14 วัน หากพบค่าระดับภูมิคุ้มกัน ≥1:1,280 จากตัวอย่างซีรั่มทั้งในระยะเฉียบพลันหรือฟื้นตัว ถือเป็นหลักฐานบ่งชี้เบื้องต้นว่าผู้ป่วยมีการติดเชื้อเดงกีในปัจจุบัน แต่หากตัวอย่างเลือดในระยะแรกของการติดเชื้อให้ผลเป็นลบ ควรตรวจเลือดซ้ำในภายหลังอีกครั้งก่อนยืนยันหรือตัดการติดเชื้อเดงกีออกไป ทั้งนี้ การทดสอบ HI มีข้อจำกัดเนื่องจาก ไม่สามารถแยกการติดเชื้อระหว่างไวรัสในตระกูล flavivirus ที่ใกล้เคียงกันได้
การตรวจ IgM antibody capture-ELISA (MAC-ELISA) เป็นวิธีการตรวจหาภูมิคุ้มกันชนิด IgM ของเชื้อที่นิยมใช้ เนื่องจาก IgM ที่ตรวจพบด้วยวิธี ELISA นั้นมีความจำเพาะต่อ flavivirus วิธีนี้ทำได้รวดเร็ว ง่ายดาย และใช้อุปกรณ์ไม่มากนัก โดยอาจใช้เลือดเพียงตัวอย่างเดียวที่เก็บในเวลาที่เหมาะสม การเพิ่มขึ้นของสัดส่วนโมลาร์ของ IgM ในระดับสูงบ่งชี้การติดเชื้อ เฉียบพลันแบบปฐมภูมิ (primary acute flavivirus infection) ในขณะที่การเพิ่มขึ้นในระดับต่ำบ่งชี้การติดเชื้อเฉียบพลันแบบทุติยภูมิ (secondary acute flavivirus infection) นอกจากนี้ การตอบสนองของแอนติบอดี IgM สูงยังแสดงถึงการติดเชื้อปฐมภูมิล่าสุด (recent primary flavivirus infection) ส่วนการตอบสนองต่ำบ่งชี้การติดเชื้อทุติยภูมิล่าสุด (recent secondary flavivirus infection)
การตรวจ MAC-ELISA ที่ให้ผลบวกบ่งชี้ว่าอาจเป็นการติดเชื้อเดงกีในระยะเฉียบพลันหรือเพิ่งผ่านระยะการติดเชื้อมาก่อนหน้านี้ไม่เกิน 90 วัน ดังนั้น การพบ IgM บวกเพียงครั้งเดียวอาจไม่สามารถยืนยันการติดเชื้อเดงกีในปัจจุบันได้ นอกจากนี้ MAC-ELISA ยังสามารถใช้ตรวจหา IgM ในน้ำไขสันหลัง (cerebrospinal fluid; CSF) ได้ แต่ไม่สามารถระบุชนิด (serotype) ของไวรัสเดงกีได้ ผลบวกไม่ได้หมายความว่าต้องมีการติดเชื้อเดงกีในปัจจุบันเสมอไป จำเป็นต้องใช้ดุลยพินิจอย่างรอบคอบเมื่อนำผลตรวจมาใช้ประกอบการวางแผนการดูแลรักษาผู้ป่วย
การตรวจ IgG ELISA มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับการทดสอบ HI และสามารถใช้แยกการติดเชื้อครั้งแรกและการติดเชื้อซ้ำได้
การตรวจ neutralization test (NT) เป็นการทดสอบทางภูมิคุ้มกันที่มีความจำเพาะและความไวสูงที่สุดในการวินิจฉัยการติดเชื้อไวรัสเดงกี อย่างไรก็ตาม การตรวจนี้ไม่ได้นำมาใช้ในงานบริการทั่วไป เนื่องจากมีขั้นตอนยุ่งยาก ใช้เวลานาน ค่าใช้จ่ายสูง และต้องใช้ห้องปฏิบัติการที่มีความเชี่ยวชาญ โดยวิธีที่นิยมคือมากที่สุดคือ serum dilution plaque reduction NT
การทดสอบ Complement Fixation (CF) เป็นการทดสอบที่มีความไวต่ำสุดในการตรวจทางภูมิคุ้มกัน แอนติบอดี CF เกิดช้ากว่า IgM และ HI และโดยทั่วไปจะมีความจำเพาะน้อยกว่า โดยเฉพาะในการติดเชื้อซ้ำ ข้อดีของวิธีนี้คือสามารถบ่งชี้การติดเชื้อครั้งแรกได้ค่อนข้างดี แต่ไม่มีประโยชน์ในการจำแนกการติดเชื้อซ้ำ
การตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่นสำหรับผู้ป่วยโรคไข้เลือดออก (Other Laboratory Tests for Dengue Patients)
การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete Blood Count: CBC) อาจพบจำนวนเม็ดเลือดขาว (WBC) ปกติ แต่ก็อาจเกิดภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ (leukopenia) ได้ตลอดช่วงที่มีไข้ ระดับฮีมาโตคริต (hematocrit) อาจเพิ่มขึ้นเล็กน้อยซึ่งมักเกิดจากภาวะขาดน้ำ (dehydration) นอกจากนี้อาจพบเกล็ดเลือดและปัจจัยการแข็งตัวของเลือดอยู่ในระดับปกติ หรือบางรายอาจมีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ (thrombocytopenia)
ระดับอัลบูมินในเลือดมักต่ำกว่าปกติ และควรตรวจการทำงานของตับ เช่น ระดับเอนไซม์ ALT และ AST รวมทั้งอาจมีการตรวจปัสสาวะเพื่อหาภาวะปัสสาวะเป็นเลือด (hematuria)
การตรวจวินิจฉัยอื่น ๆ ได้แก่ การแยกเชื้อไวรัส (virus isolation) และเทคนิคทางโมเลกุล เช่น RT-PCR ซึ่งมีความจำเพาะและความไวสูงกว่าการแยกเชื้อไวรัส และให้ผลตรวจรวดเร็วกว่า
ความก้าวหน้าในการทดสอบด้วยวิธี ELISA และ dot blot ที่มุ่งตรวจหาแอนติเจนของโปรตีนเปลือกหุ้มไวรัส (envelope/membrane; E/M) และโปรตีนที่ไม่ใช่โครงสร้างไวรัส (non-structural protein; NS1) แสดงให้เห็นว่าสามารถตรวจพบแอนติเจนเหล่านี้ในระดับความเข้มข้นสูง (ที่อาจอยู่ในรูปของ immune complexes) ได้ในผู้ป่วยระยะเริ่มต้นของโรค รวมถึงในผู้ป่วยที่ติดเชื้อเดงกีทั้งแบบปฐมภูมิและทุติยภูมิได้นานถึง 6 วันหลังจากเริ่มมีอาการ
การตรวจ ELISA สำหรับโปรตีน NS1 ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประโยชน์ในการวินิจฉัยการติดเชื้อเดงกีระยะเฉียบพลัน NS1 เป็นโปรตีนที่สร้างขึ้นโดยไวรัสในตระกูล flavivirus ทั้งหมด และสามารถหลั่งออกจากเซลล์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมได้ โดยสามารถตรวจพบแอนติเจน NS1 ของไวรัสเดงกีในซีรั่มของผู้ป่วยที่ติดเชื้อได้เร็วถึงหนึ่งวันหลังเริ่มมีอาการ (post-symptom onset; PSO) และได้นานถึง 18 วันหลังเริ่มมีอาการ (days post onset; DPO) นอกจากนี้ยังอาจมีประโยชน์ในการวินิจฉัยแยกโรคในตระกูล flavivirus ต่าง ๆ เนื่องจากมีความจำเพาะเจาะจงสูง ชุดตรวจหาแอนติเจน NS1 มีจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ และสามารถใช้ได้ในห้องปฏิบัติการที่มีทรัพยากรจำกัด อีกทั้งยังให้ผลการตรวจได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง

การตรวจหาภูมิคุ้มกันของเชื้อ (Serology)
การทดสอบปฏิกิริยาการยับยั้งการจับกลุ่มของเม็ดเลือดแดง (hemagglutination inhibition; HI) เป็นการทดสอบที่มีความไวสูง ทำได้ง่าย และให้ผลที่สม่ำเสมอ ซึ่งต้องอาศัยการเก็บตัวอย่างซีรั่มคู่ (paired sera) ได้แก่ ตัวอย่างเลือดระยะเฉียบพลัน (acute phase) ที่เก็บในช่วงเข้ารับการรักษา และตัวอย่างเลือดระยะฟื้นตัว (convalescent phase) ที่เก็บหลังจากพ้นระยะวิกฤติแล้วประมาณ 10–14 วัน หากพบค่าระดับภูมิคุ้มกัน ≥1:1,280 จากตัวอย่างซีรั่มทั้งในระยะเฉียบพลันหรือฟื้นตัว ถือเป็นหลักฐานบ่งชี้เบื้องต้นว่าผู้ป่วยมีการติดเชื้อเดงกีในปัจจุบัน แต่หากตัวอย่างเลือดในระยะแรกของการติดเชื้อให้ผลเป็นลบ ควรตรวจเลือดซ้ำในภายหลังอีกครั้งก่อนยืนยันหรือตัดการติดเชื้อเดงกีออกไป ทั้งนี้ การทดสอบ HI มีข้อจำกัดเนื่องจาก ไม่สามารถแยกการติดเชื้อระหว่างไวรัสในตระกูล flavivirus ที่ใกล้เคียงกันได้
การตรวจ IgM antibody capture-ELISA (MAC-ELISA) เป็นวิธีการตรวจหาภูมิคุ้มกันชนิด IgM ของเชื้อที่นิยมใช้ เนื่องจาก IgM ที่ตรวจพบด้วยวิธี ELISA นั้นมีความจำเพาะต่อ flavivirus วิธีนี้ทำได้รวดเร็ว ง่ายดาย และใช้อุปกรณ์ไม่มากนัก โดยอาจใช้เลือดเพียงตัวอย่างเดียวที่เก็บในเวลาที่เหมาะสม การเพิ่มขึ้นของสัดส่วนโมลาร์ของ IgM ในระดับสูงบ่งชี้การติดเชื้อ เฉียบพลันแบบปฐมภูมิ (primary acute flavivirus infection) ในขณะที่การเพิ่มขึ้นในระดับต่ำบ่งชี้การติดเชื้อเฉียบพลันแบบทุติยภูมิ (secondary acute flavivirus infection) นอกจากนี้ การตอบสนองของแอนติบอดี IgM สูงยังแสดงถึงการติดเชื้อปฐมภูมิล่าสุด (recent primary flavivirus infection) ส่วนการตอบสนองต่ำบ่งชี้การติดเชื้อทุติยภูมิล่าสุด (recent secondary flavivirus infection)
การตรวจ MAC-ELISA ที่ให้ผลบวกบ่งชี้ว่าอาจเป็นการติดเชื้อเดงกีในระยะเฉียบพลันหรือเพิ่งผ่านระยะการติดเชื้อมาก่อนหน้านี้ไม่เกิน 90 วัน ดังนั้น การพบ IgM บวกเพียงครั้งเดียวอาจไม่สามารถยืนยันการติดเชื้อเดงกีในปัจจุบันได้ นอกจากนี้ MAC-ELISA ยังสามารถใช้ตรวจหา IgM ในน้ำไขสันหลัง (cerebrospinal fluid; CSF) ได้ แต่ไม่สามารถระบุชนิด (serotype) ของไวรัสเดงกีได้ ผลบวกไม่ได้หมายความว่าต้องมีการติดเชื้อเดงกีในปัจจุบันเสมอไป จำเป็นต้องใช้ดุลยพินิจอย่างรอบคอบเมื่อนำผลตรวจมาใช้ประกอบการวางแผนการดูแลรักษาผู้ป่วย
การตรวจ IgG ELISA มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับการทดสอบ HI และสามารถใช้แยกการติดเชื้อครั้งแรกและการติดเชื้อซ้ำได้
การตรวจ neutralization test (NT) เป็นการทดสอบทางภูมิคุ้มกันที่มีความจำเพาะและความไวสูงที่สุดในการวินิจฉัยการติดเชื้อไวรัสเดงกี อย่างไรก็ตาม การตรวจนี้ไม่ได้นำมาใช้ในงานบริการทั่วไป เนื่องจากมีขั้นตอนยุ่งยาก ใช้เวลานาน ค่าใช้จ่ายสูง และต้องใช้ห้องปฏิบัติการที่มีความเชี่ยวชาญ โดยวิธีที่นิยมคือมากที่สุดคือ serum dilution plaque reduction NT
การทดสอบ Complement Fixation (CF) เป็นการทดสอบที่มีความไวต่ำสุดในการตรวจทางภูมิคุ้มกัน แอนติบอดี CF เกิดช้ากว่า IgM และ HI และโดยทั่วไปจะมีความจำเพาะน้อยกว่า โดยเฉพาะในการติดเชื้อซ้ำ ข้อดีของวิธีนี้คือสามารถบ่งชี้การติดเชื้อครั้งแรกได้ค่อนข้างดี แต่ไม่มีประโยชน์ในการจำแนกการติดเชื้อซ้ำ
การตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่นสำหรับผู้ป่วยโรคไข้เลือดออก (Other Laboratory Tests for Dengue Patients)
การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete Blood Count: CBC) อาจพบจำนวนเม็ดเลือดขาว (WBC) ปกติ แต่ก็อาจเกิดภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ (leukopenia) ได้ตลอดช่วงที่มีไข้ ระดับฮีมาโตคริต (hematocrit) อาจเพิ่มขึ้นเล็กน้อยซึ่งมักเกิดจากภาวะขาดน้ำ (dehydration) นอกจากนี้อาจพบเกล็ดเลือดและปัจจัยการแข็งตัวของเลือดอยู่ในระดับปกติ หรือบางรายอาจมีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ (thrombocytopenia)
ระดับอัลบูมินในเลือดมักต่ำกว่าปกติ และควรตรวจการทำงานของตับ เช่น ระดับเอนไซม์ ALT และ AST รวมทั้งอาจมีการตรวจปัสสาวะเพื่อหาภาวะปัสสาวะเป็นเลือด (hematuria)
การตรวจวินิจฉัยอื่น ๆ ได้แก่ การแยกเชื้อไวรัส (virus isolation) และเทคนิคทางโมเลกุล เช่น RT-PCR ซึ่งมีความจำเพาะและความไวสูงกว่าการแยกเชื้อไวรัส และให้ผลตรวจรวดเร็วกว่า