Content:
การวินิจฉัยแยกโรค
Content on this page:
การวินิจฉัยแยกโรค
Content on this page:
การวินิจฉัยแยกโรค
การวินิจฉัยแยกโรค
โรคไข้เลือดออก (Dengue) จำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยแยกจากโรคติดเชื้อชนิดอื่นที่มีลักษณะอาการคล้ายคลึงกัน ซึ่งอาจเกิดจากเชื้อไวรัส (รวมถึงชิคุนกุนยา), แบคทีเรีย ริกเกตเซีย หรือปรสิต โดยมีโรคสำคัญที่ควรพิจารณาแยกโรค ดังต่อไปนี้:
- ไข้หวัดใหญ่ (Influenza): ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่มักมีอาการคัดจมูกและ/หรือน้ำมูกไหลเด่นชัดกว่า
- หัด (Measles)
- ชิคุนกุนยา (Chikungunya): ลักษณะเด่นที่ใช้แยกจากไข้เลือดออกคือมีข้ออักเสบแบบสมมาตรที่ข้อนิ้วมือและข้อเล็ก ๆ (symmetric small joint arthritis)
- โรคโมโนนิวคลิโอซิส (Infectious mononucleosis)
- การติดเชื้อเอชไอวี (Human immunodeficiency virus, HIV)
- โรคโควิด-19 (Coronavirus disease 2019, COVID-19)
- หัดและหัดเยอรมัน (Measles, rubella): ผื่นจะขึ้นที่ศีรษะก่อนแล้วลามลงลำตัว ในขณะที่ผื่นไข้เลือดออกมักขึ้นที่ลำตัวก่อนแล้วกระจายไปหน้าและแขนขา นอกจากนี้ผู้ป่วยหัดมักมีอาการไอ น้ำมูกไหล และเยื่อตาอักเสบร่วมด้วย
- ไข้ไทฟอยด์ (Typhoid fever): มักมีไข้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน และม้ามโต (splenomegaly) เป็นอาการเด่น
- ตับอักเสบจากการติดเชื้อ (Infectious hepatitis): มีไข้ อ่อนเพลีย อาเจียน ตับโต และค่าเอ็นไซม์ตับสูง คล้ายไข้เลือดออก แต่ไข้เลือดออกมักพบภาวะพลาสม่ารั่วและเกล็ดเลือดต่ำในช่วงไข้ลด
- ภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย หรือภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (Meningococcemia, bacterial sepsis): ควรพิจารณาในผู้ป่วยที่มีภาวะช็อก
- โรคฉี่หนู หรือเลปโตสไปโรซิส (Leptospirosis): ภาวะตัวเหลืองตาเหลือง (jaundice) อาจช่วยแยกจากไข้เลือดออกได้
- มาลาเรีย (Malaria), ไข้อีดำอีแดง (Scarlet fever), ไวรัสเอ็บสไตน์-บาร์ (Epstein-Barr virus), โรคติดเชื้อริกเก็ตเซีย (Rickettsial infections)
- อาการปวดท้องรุนแรงจากไข้เลือดออก อาจคล้ายกับไส้ติ่งอักเสบหรือถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน
- ภาวะเลือดออก เกล็ดเลือดต่ำ และช็อก อาจสับสนกับโรคไข้เลือดออกจากไวรัสอื่น ๆ เช่น ไข้เหลือง (Yellow fever), ไข้ลาสซา (Lassa fever), ไข้ริฟต์วาลเลย์ (Rift Valley fever), ไข้อีโบลา (Ebola fever), ไข้ไวรัสมาร์บวร์ก (Marburg fever), กลุ่มอาการไข้เลือดออกร่วมกับกลุ่มอาการทางไต (Hemorrhagic fever with renal syndrome) เป็นต้น