Asthma โรคหืด Diagnostics

Last updated: 30 September 2025

Content on this page:

Content on this page:

การตรวจทางห้องปฏิบัติการและอื่น ๆ

การตรวจสมรรถภาพปอด 
การตรวจสมรรถภาพปอดทำเพื่อประเมินความรุนแรงของการอุดกั้นทางเดินหายใจ (severity) การตอบสนองต่อยาขยายหลอดลม (reversibility) ความแปรปรวนของสมรรถภาพปอด (variability) และช่วยยืนยันการวินิจฉัยโรคหืด โดยหากพบความแปรปรวนของสมรรถภาพปอดมากกว่าปกติ และพบภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจ โดยมีค่า FEV1 ที่ต่ำกว่าปกติ และอัตราส่วนระหว่าง FEV1 กับปริมาตรอากาศทั้งหมดที่หายใจออกด้วยแรงสูงสุด (forced vital capacity; FVC) ที่ต่ำจะเป็นการช่วยยืนยันการวินิจฉัยโรค 

ค่า FEV1 และ peak expiratory flow (PEF) จะมีค่าต่ำในรายที่มีอาการทางเดินหายใจอุดกั้น โดยการใช้ spirometry และการวัด PEF จะใช้ในการประเมินในผู้ป่วยโรคหืดอายุ ≥5 ปี โดยการวัด PEF สามารถใช้เป็นทางเลือกในกรณีไม่มี spirometry ได้ ถึงแม้การวัด PEF จะมีความน่าเชื่อถือน้อยกว่า แต่ดีกว่าการวินิจฉัยจากอาการเพียงอย่างเดียว โดยการแปลผลของค่าอัตราส่วน FEV1, FVC และ PEF ที่พิจารณาจากอายุ เพศ และส่วนสูง สามารถนำมาใช้เป็นเกณฑ์ในการประเมินว่าค่าที่วัดได้อยู่ในเกณฑ์ปกติหรือไม่ โดยควรคำนึงถึงลักษณะทางชาติพันธุ์ และช่วงวัยพิเศษ (วัยเด็กเล็กหรือสูงอายุ) ร่วมด้วย 

Spirometry  spirometry
เป็นการตรวจมาตรฐานเพื่อประเมินการอุดกั้นทางเดินหายใจ ตรวจหาการตอบสนองต่อยาขยายหลอดลม และใช้ในการยืนยันการวินิจฉัยโรคหืด โดยการวัดค่า FEV1 และ FVC โดยให้ผลที่น่าเชื่อถือกว่าการวัด PEF นอกจากนี้ spirometry ยังใช้ในการติดตามอาการของโรคหืดและช่วยประเมินการตอบสนองต่อการรักษาในผู้ป่วยที่มีสมรรถภาพปอดลดลงอย่างมาก อย่างไรก็ตาม โรคทางปอดอื่น ๆ อาจทำให้ค่า FEV1 ลดลงได้เช่นกัน ดังนั้น การประเมินภาวะอุดกั้นของทางเดินหายใจในโรคหืดควรใช้ค่าอัตราส่วน FEV1/FVC มากกว่า FEV1 เดี่ยว ๆ  

ในภาวะปอดปกติ ค่า FEV1/FVC จะมีค่า >75–80% ในผู้ใหญ่ และ >90% ในเด็ก หากมีค่า <70% หลังได้รับยาขยายหลอดลม (หรือมีค่าต่ำกว่าค่าปกติใด ๆ ก็ตาม) จะบ่งชี้ของภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจ โดยหากผู้ป่วยมีค่า FEV1 เพิ่มขึ้น >12% โดยเกิดเองตามธรรมชาติ หลังได้รับยาขยายหลอดลม หรือหลังจากรักษาด้วยยาต้านการอักเสบไปแล้ว 4 สัปดาห์ จะถือว่าผู้ป่วยเป็นโรคหืด

Peak Expiratory Flow (PEF) 
การวัด PEF มีประโยชน์ในการช่วยวินิจฉัยและติดตามการรักษาโรคหืด โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่อาจมีอาการแสดงน้อยกว่าความเป็นจริงหรืออาการแสดงไม่ชัดเจน เช่น ในวัยรุ่น ผู้สูงอายุ หรือผู้มีโรคประจำตัวอื่นที่มีอาการคล้ายโรคหืด เป็นต้น และใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการแสดงมากกว่าความเป็นจริง เช่น ผู้ป่วยที่วิตกกังวล เป็นต้น 

กรณีไม่มี spirometry สามารถใช้การวัด PEF ในการช่วยยืนยันภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นที่มีความแปรปรวนได้ หากค่า PEF เพิ่มขึ้น ≥20% หลังใช้ยาขยายหลอดลมแล้วน่าจะบ่งชี้ว่าผู้ป่วยเป็นโรคหืดได้ อย่างไรก็ตามการวัด PEF อาจไม่สัมพันธ์กับค่าสมรรถภาพปอดอื่น ๆ และควรเทียบกับค่า PEF ที่ดีที่สุดของผู้ป่วยรายนั้น ๆ สำหรับในเด็กพบว่าค่า PEF อาจปกติแม้มีภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นและการกักเก็บอากาศแย่ลง ดังนั้นการใช้ PEF ในเด็กอาจประเมินภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นได้รุนแรงน้อยกว่าความเป็นจริง 

การติดตามการรักษาด้วยวัด PEF เป็นประจำ (วันละ 2 ครั้ง ติดต่อกันหลายวันจนถึงเดือน) จะช่วยประเมินความรุนแรงและการตอบสนองต่อการรักษาได้ โดยรูปแบบการเปลี่ยนแปลงของ PEF ในระหว่างวันจะสะท้อนความรุนแรงของโรค กล่าวคือ ยิ่งแปรปรวนมาก ยิ่งควบคุมโรคได้ไม่ดี โดยควรวัด 2 ครั้ง ในช่วงตื่นนอน (ค่ามักจะอยู่ในช่วงต่ำสุด) เทียบกับค่าที่วัดในช่วงเย็นหรือห่างจากครั้งแรก 12 ชั่วโมง (ค่ามักจะอยู่ในช่วงสูงสุด) 

Diurnal Peak Expiratory Flow 
การวัดความแปรปรวนของค่า PEF ระหว่างวัน (diurnal peak expiratory flow variability) สามารถทำได้โดยการหาความแตกต่างของค่า PEF ระหว่างก่อนใช้ยาขยายหลอดลมในช่วงเช้าเทียบกับหลังใช้ยาขยายหลอดลมในช่วงเย็นของวันก่อนหน้า แล้วนำมาคำนวณเป็นร้อยละของค่าเฉลี่ยระหว่างวัน อีกวิธีหนึ่งที่สามารถทำได้คือการหาค่า PEF ต่ำสุดในช่วงเช้าก่อนใช้ยาขยายหลอดลมเป็นเวลา 1 สัปดาห์ จากนั้นแปลงค่าเป็นร้อยละของค่าต่ำสุดเทียบกับค่าสูงสุด โดยวิธีนี้ถือได้ว่าเป็นตัวชี้วัดที่ดีที่สุดในการวัดค่า PEF ระหว่างวัน เนื่องจากการวัดชนิดนี้สามารถวัดเพียงวันละ 1 ครั้งและมีความสัมพันธ์กับภาวะ airway hyperresponsiveness มากกว่าตัวชี้วัดอื่น ๆ โดยหากค่าเฉลี่ยระหว่างวันมีค่า >10% ในผู้ใหญ่ และ >13% ในเด็กจะบ่งชี้ได้ว่าผู้ป่วยเป็นโรคหืด ทั้งนี้ การวัด PEF ควรทำก่อนเริ่มการรักษา เนื่องจากความแปรปรวนของค่า PEF นี้จะลดลงเมื่อได้รับยาในกลุ่ม ICS ซึ่งทำให้การทำงานของปอดดีขึ้น 

การทดสอบการตอบสนองต่อยาขยายหลอดลม (Bronchodilator [BD] Reversibility Test) 
การทดสอบการตอบสนองต่อยาขยายหลอดลมทำได้โดยการใช้ยาขยายหลอดลมและวัดค่าสมรรถภาพของปอด โดยพบว่า หากค่า FEV1 เพิ่มขึ้น ≥12% และ >200 mLจากค่าเดิม ภายใน 10–15 นาทีหลังจากได้รับยาขยายหลอดลม albuterol ขนาด 200–400 µg หรือยาในกลุ่มเดียวกันในผู้ใหญ่ หรือค่า FEV1 เพิ่มขึ้น ≥12% ในเด็กจะยืนยันการวินิจฉัยโรคหืดได้ อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การทดสอบมีความไวมากขึ้น ควรหยุดใช้ยาในกลุ่ม SABA และ LABA อย่างน้อย 4 และ 15 ชั่วโมง ตามลำดับ 

การทดสอบอื่น ๆ 
นอกจากการทดสอบข้างต้นแล้วยังมีการทดสอบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตรวจวินิจฉัยโรคหืด อย่างไรก็ตาม การทดสอบต่อไปนี้อาจไม่ได้ช่วยยืนยันการวินิจฉัยโรคหืดได้หากผู้ป่วยไม่ได้มีอาการบ่อย จึงควรมีการตรวจติดตามเป็นระยะจนกว่าจะยืนยันโรคหืดได้ ก่อนการวินิจฉัยและรักษาโรคหืดทุกครั้งควรพิจารณาถึงปัจจัยต่าง ๆ เช่น ประวัติครอบครัว อายุของผู้ป่วย และสิ่งกระตุ้นที่ทำให้อาการกำเริบ หากผลยังไม่ชัดเจน อาจเริ่มให้การรักษาด้วยยาในกลุ่ม SABA ตามอาการ ร่วมกับยาในกลุ่ม ICS และการวัด PEF จะช่วยยืนยันการวินิจฉัยโรคหืดได้ 

การทดสอบด้วยการออกกำลังกาย  
ค่าผิดปกติเมื่อค่า FEV1 ลดลง >10% และ >200 mL จากเดิมในผู้ใหญ่ และค่า FEV1 ลดลง >12% หรือค่า PEF ลดลง >15% ในเด็ก  

การทดสอบกระตุ้นหลอดลม (Bronchial Provocation Testing) 
การทดสอบชนิดนี้เป็นทางเลือกสำหรับการตรวจภาวะ airway hyperresponsiveness โดยใช้สารกระตุ้นต่าง ๆ เช่น สาร methacholine (ขนาดไม่เกิน 4 mg/mL) หรือสาร histamine หากค่า FEV1 ลดลงจากเดิม ≥20% หลังได้รับสารกลุ่มนี้จะถือว่าผิดปกติและอาจเป็นโรคหืดได้ นอกจากนี้อาจใช้วิธีการทดสอบอื่น ๆ เช่น การทดสอบหายใจเร็วลึก (standardized hyperventilation) การใช้ hypertonic saline หรือการใช้ mannitol โดยหากค่าลดลงจากเดิม ≥15% จะถือว่าผิดปกติเช่นกัน 

อย่างไรก็ตามการทดสอบโดยใช้ methacholine, histamine หรือ mannitol นี้อาจให้ผลเป็นบวกได้ในรายที่เป็นโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ โรคหลอดลมโป่งพอง (bronchiectasis) โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (chronic obstructive pulmonary disease; COPD) หรือโรค cystic fibrosis (CF) ดังนั้นการทดสอบชนิดนี้ต้องพิจารณาร่วมกับประวัติของผู้ป่วยเพื่อการวินิจฉัยอย่างถูกต้อง 

การทดสอบการแพ้ 
ภาวะ atopy เป็นสาเหตุหลักของการเกิดอาการระบบทางเดินหายใจในกลุ่มผู้ป่วยโรคหืดจากภูมิแพ้ โดยอาจทดสอบได้จากการทำ skin prick test หรือการวัดระดับ specific IgE antibodies (sIgE) ในซีรัม ซึ่งการวัดระดับ sIgE เป็นวิธีการตรวจที่แนะนำในรายที่มีข้อจำกัดในการทำ skin prick test เช่น ผู้ป่วยที่มีโรคผิวหนังรุนแรง หรือผู้ป่วยที่เคยมีภาวะแพ้รุนแรง (anaphylaxis) เป็นต้น การทดสอบนี้ใช้เป็นการตรวจยืนยันในผู้ป่วยที่น่าจะเป็นเป็นโรคหืดจากภูมิแพ้   

การวัดระดับไนตริกออกไซด์ในลมหายใจออก (Fractional Concentration of Exhaled Nitric Oxide [FENO] Measurement) 

FENO จะมีค่าเพิ่มขึ้นในผู้ป่วยที่มีการอักเสบจาก eosinophil เช่น โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ โรค eosinophilic asthma, eosinophilic bronchitis และ atopy เป็นต้น ในทางตรงกันข้าม FENO จะมีค่าลดลงในผู้ป่วยที่สูบบุหรี่ ผู้ป่วยที่มีภาวะหลอดลมหดตัว (bronchoconstriction) และช่วงแรกของปฏิกิริยาภูมิแพ้ หากค่า FENO ตั้งแต่ 40 parts per billion (ppb) ขึ้นไปในรายที่ไม่เคยได้รับยาในกลุ่ม corticosteroids หรือตั้งแต่ 35 ppb ขึ้นไปในเด็กจะถือว่าผิดปกติ 

ปัจจุบันยังต้องการข้อมูลการศึกษาเพิ่มเติมในการใช้ FENO ช่วยยืนยันการวินิจฉัยหรือใช้ในการปรับการรักษาโรคหืด บางการศึกษาพบว่าการใช้ FENO เป็นแนวทางในการปรับการรักษานั้นช่วยลดอาการหืดกำเริบเฉียบพลันได้ดีกว่าอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับการปรับตามแนวเวชปฏิบัติ