โรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ (Atopic Dermatitis) Initial Assessment

Last updated: 19 August 2025

Content on this page:

Content on this page:

อาการแสดงทางคลินิก (Clinical Presentation)

จากการสำรวจทางเว็บไซต์ใน 34 ประเทศพบว่า อาการที่พบเป็นอันดับหนึ่งคือ อาการคัน รองลงมาคือ อาการปวด ซึ่งเป็นอาการที่พบมากเป็นอันดับสองของโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ โดยอาจเป็นผลมาจากการเกา รอยแตกของผิวหนัง ผิวหนังแดงอักเสบ หรือการแสบร้อนจากยาทาภายนอก (เช่น สเตียรอยด์)  

ทารกอายุต่ำกว่า 2 ปี 
ในกลุ่มอายุนี้ สัญญาณของการอักเสบมักเกิดในช่วงอายุประมาณสามเดือน ผู้ป่วยมักมีผิวแห้ง รอยโรค (ตุ่มแดงที่มีน้ำเหลืองไหล เกิดคราบและสะเก็ด) มักพบที่แก้มและ/หรือคาง การเลียริมฝีปากอาจทำให้เกิดสะเก็ด น้ำเหลืองไหล และเกิดคราบที่ริมฝีปากรวมถึงผิวหนังรอบปาก ซึ่งอาจนำไปสู่การติดเชื้อในภายหลังได้ 

Atopic Dermatitis_Initial Assessment 1Atopic Dermatitis_Initial Assessment 1


การเกาหรือการเช็ดล้างที่ผิวอย่างต่อเนื่องจะทำให้เกิดสะเก็ด น้ำเหลืองไหล และปื้นแดงบนแก้ม ทารกอาจมีอาการกระสับกระส่ายหรือหงุดหงิดระหว่างการนอนหลับ ในขณะที่เด็กบางรายอาจมีผื่นกระจายไปทั่วและมีลักษณะเป็นตุ่มนูน แดง และสะเก็ด ส่วนบริเวณที่ใส่ผ้าอ้อมมักไม่ได้รับผลกระทบ  

เด็กอายุ 2–12 ปี 
ผู้ป่วยในกลุ่มอายุนี้มักมีการอักเสบในบริเวณที่มีการพับของผิวหนัง (เช่น คอ ข้อมือ ข้อเท้า ข้อพับแขน) ผื่นอาจเกิดขึ้นใน 1 หรือ 2 บริเวณ และอาจลุกลามไปยังบริเวณอื่น ๆ (เช่น คอ ข้อพับแขน ข้อพับเข่า ข้อมือ และข้อเท้า)  

นอกจากนี้ยังอาจมีตุ่มนูนที่เปลี่ยนเป็นแผ่นหนาและกลายเป็นผิวหนังหนาเมื่อถูกเกา การเกาและการอักเสบเรื้อรังอาจนำไปสู่การเกิดบริเวณที่มีสีผิวจางลงหรือเข้มขึ้น  

อายุ 13 ปีถึงผู้ใหญ่ 
ในช่วงเริ่มต้นของวัยแรกรุ่นอาการอักเสบสามารถเกิดขึ้นได้ซ้ำ ๆ โดยผื่นมักจะเกิดขึ้นและกระจายบริเวณส่วนบนของร่างกาย เช่น ใบหน้า คอ หน้าอก และหลัง และอาจเกิดผื่นที่มีอาการคันมาก (prurigo) ที่ลำตัวและแขนขา ในกรณีที่อาการรุนแรง อาจเกิดผื่นแดงทั่วตัว (erythroderma) ซึ่งเป็นอาการที่พบได้น้อยมาก 

การเกิดโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ในผู้ใหญ่ที่ไม่มีประวัติของโรคผิวหนังอักเสบมาก่อนเป็นเหตุการณ์ที่พบไม่บ่อย รูปแบบของการอักเสบจะคล้ายกับเด็กอายุ 2–12 ปี โดยมีรอยโรคเพิ่มเติมที่ท้ายทอยและมือ ผิวหนังอักเสบที่มือในผู้ใหญ่อาจเกิดจากการสัมผัสกับสารเคมีที่ระคายเคืองได้  

ตุ่มนูนและแผ่นแดงแห้ง มีสะเก็ด และผิวหนังหนาอาจเกิดขึ้นได้ 

การวินิจฉัยและเกณฑ์การวินิจฉัย (Diagnosis or Diagnostic Criteria)

การวินิจฉัยโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ขึ้นอยู่กับประวัติของผู้ป่วย อาการแสดงทางผิวหนัง (ลักษณะเฉพาะของโรคภูมิแพ้) และการตรวจร่างกายอื่น ๆ สิ่งสำคัญคือต้องค้นหาปัจจัยที่ทำให้โรคกำเริบ เช่น สารก่อภูมิแพ้ในอากาศ อาหาร การติดเชื้อ สารเคมีที่ระคายเคือง ความเครียดทางอารมณ์ และอุณหภูมิที่สูงหรือต่ำผิดปกติ  

เกณฑ์การวินิจฉัย (ตาม Hanifin and Rajka criteria)  
ลักษณะสำคัญของโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ที่ผู้ป่วยต้องมีอย่างน้อย 3 ใน 4 ข้อ ได้แก่: 
 - อาการคัน 
 - ลักษณะและการกระจายตัวที่เป็นแบบเฉพาะ: ในทารกและเด็กมักพบผื่นหนาบริเวณใบหน้าและแขนขา; ในผู้ใหญ่มักพบบริเวณผิวหนังบริเวณข้อพับ โดยมีลักษณะเป็นแนวเส้นตรง 
 - โรคผิวหนังอักเสบที่เป็นเรื้อรังหรือกำเริบเรื้อรัง 
 - ประวัติส่วนตัวหรือครอบครัวมีโรคภูมิแพ้: โรคหืด โรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ โรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ 

Atopic dermatitis_Initial Assessment 2Atopic dermatitis_Initial Assessment 2


ลักษณะรอง (minor) หรือลักษณะที่ไม่เฉพาะเจาะจงของโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ที่ผู้ป่วยต้องมีอย่างน้อยอีก 3 ข้อจาก 23 ข้อต่อไปนี้:  
 - ริมฝีปากอักเสบ 
 - ผิวหนังอักเสบที่มือหรือเท้า 
 - โรคหนังเกล็ดปลา (Ichthyosis) ฝ่ามือหนาขึ้นและเส้นลายมือลึกกว่าปกติ (palmar hyperlinearity) และโรคขนคุด (keratosis pilaris) 
 - ผื่นที่บริเวณหัวนม 
 - ผิวหนังบริเวณรอบรูขนยกนูนขึ้นหรือมีลักษณะคล้ายหนังไก่ (perifollicular accentuation) 
 - ผิวแห้ง 
 - เยื่อบุตาอักเสบที่เป็นซ้ำบ่อย ๆ  
 - โรคกระจกตาย้วยหรือโป่ง (keratoconus) 
 - ต้อกระจกที่ชั้นเลนส์ที่อยู่รอบนอกสุดติดกับเยื่อหุ้มเลนส์ด้านหน้า (anterior subcapsular cataract) 
 - ผื่นกลากน้ำนม (pityriasis alba) 
 - การตอบสนองของผิวหนังเป็นสีขาวภายหลังถูกขูดขีด (white dermatographism and delayed blanch response) 
 - Dennie-Morgan infraorbital fold 
 - ผิวหน้าซีดหรือแดง 
 - รอยพับที่คอด้านหน้า 
 - คันเมื่อเหงื่อออก 
 - แพ้ขนสัตว์และตัวทำละลายไขมัน (lipid solvents) 
 - แพ้อาหาร 
 - อาการแสดงของโรคได้รับอิทธิพลจากปัจจัยสิ่งแวดล้อม/อารมณ์ 
 - รอบตาคล้ำ 
 - การตอบสนองของผิวหนังแบบเฉียบพลัน (ประเภทที่ 1) จากการทดสอบ เช่น radioallergosorbent หรือ skin prick test) 
 - ระดับ IgE ในเลือดสูงขึ้น 
 - เริ่มมีอาการตั้งแต่อายุยังน้อย 
 - การติดเชื้อที่ผิวหนัง (Staphylococcus aureus, herpes simplex) หรือมีภูมิคุ้มกันชนิดพึ่งเซลล์ (cell-mediated immunity) บกพร่อง 

ความรุนแรงของโรค (Disease Severity)

ความรุนแรงของโรคสามารถประเมินโดยใช้วิธีการให้คะแนนต่าง ๆ (เช่น SCORing Atopic Dermatitis [SCORAD], Eczema Area and Severity Index [EASI], Patient Oriented Eczema Measure [POEM], Three Items Severity Score [TISS])  

SCORAD เป็นวิธีการให้คะแนนที่พัฒนาโดย European Task Force of Atopic Dermatitis (ETFAD) ซึ่งใช้พื้นที่ผิวหนังที่ได้รับผลกระทบหรือขอบเขตของผื่น ระดับความรุนแรงของผื่น และความรู้สึกของผู้ป่วยที่มีต่ออาการแสดง เพื่อให้คะแนนความรุนแรงของโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ของผู้ป่วย และแบ่งออกเป็นดังนี้: 
 - โรคที่มีความรุนแรงน้อย: 10–28 คะแนน 
 - โรคที่มีความรุนแรงปานกลาง: 29–48 คะแนน 
 - โรคที่มีความรุนแรงมาก: 49–103 คะแนน 

TISS เป็นระบบการให้คะแนนที่ง่ายขึ้นโดยอิงจาก 3 อาการของโรค: อาการแดง อาการบวม หรือการเกิดตุ่ม และการเกา POEM วัดความรุนแรงโดยอาศัยคำตอบของผู้ป่วยต่อคำถาม 7 ข้อที่อิงจากอาการและความถี่ของอาการ ความรุนแรงของอาการคันขึ้นอยู่กับการประเมินของผู้ป่วยโดยใช้ visual analog scale (VAS) และ numerical rating scale (NRS)  

ระบบการให้คะแนนอื่น ๆ ที่อิงจากผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตสามารถนำมาใช้ได้เช่นกัน (เช่น Children’s Dermatology Life Quality Index [CDLQI], Dermatitis Family Impact [DFI], Skindex-16, Dermatology Life Quality Index [DLQI], และ Infant’s Dermatitis Quality of Life Index [IDQOL])  

ภาวะแทรกซ้อนทางตาหรือการติดเชื้ออาจเกิดขึ้นในโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ที่รุนแรง โรคสะเก็ดเงินที่รุนแรงหรือการติดเชื้อที่ผิวหนังอาจต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล  

ช่วงอาการกำเริบ (flare) คือช่วงที่อาการของโรคแย่ลงอย่างเฉียบพลันและมีนัยสำคัญทางคลินิก ที่จำเป็นต้องได้รับการรักษา ช่วงอาการสงบ (remission) คือ ช่วงเวลาที่ไม่มีอาการกำเริบเป็นเวลาอย่างน้อย 8 สัปดาห์โดยไม่ได้ใช้ยาเพื่อรักษาอาการอักเสบใด ๆ