Content:
หลักการรักษา (Principles of Therapy)
Content on this page:
หลักการรักษา (Principles of Therapy)
การรักษาด้วยยา (Pharmacological Therapy)
การรักษาที่ไม่ใช้ยา (Non-pharmacological Therapy)
Content on this page:
หลักการรักษา (Principles of Therapy)
การรักษาด้วยยา (Pharmacological Therapy)
การรักษาที่ไม่ใช้ยา (Non-pharmacological Therapy)
หลักการรักษา (Principles of Therapy)
เป้าหมายการรักษา (Goals of Therapy)
เป้าหมายของการรักษาโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ คือ การลดอาการ ทำให้ผิวกลับมาเป็นปกติให้ได้มากที่สุด ป้องกันการกำเริบ และทำให้โรคสงบได้ในระยะยาว เป้าหมายอื่น ๆ ได้แก่ การทำให้คะแนนความรุนแรงของโรคให้ดีขึ้น 75% การปรับปรุงคุณภาพชีวิต ลดความเสี่ยงจากการรักษา และหลีกเลี่ยงอาการไม่พึงประสงค์จากยา
การรักษาด้วยยาทาภายนอก (Topical Therapy) ยาทาภายนอกมีข้อบ่งใช้สำหรับการรักษาโรคที่ยังควบคุมไม่ได้หรือโรคที่กำลังแสดงอาการหรือมีการกำเริบ [การเหนี่ยวนำให้โรคสงบ (induction of remission)] และสำหรับการรักษาเป็นครั้งคราวสำหรับการอักเสบที่ไม่แสดงอาการ และการป้องกันการกำเริบในอนาคต [การรักษาให้โรคสงบ (maintenance of remission)] การรักษาอย่างต่อเนื่องมีความสำคัญในการป้องกันการกำเริบ การเพิ่มระดับการรักษา ภาวะแทรกซ้อนและผลข้างเคียงจากยา
กฎหน่วยปลายนิ้ว (fingertip unit, FTU) ซึ่งเป็นปริมาณของยาที่บีบออกจากหลอดที่มีช่องเปิดที่ปลายหลอดขนาด 5 มม. และมีความยาวเท่ากับข้อพับสุดท้ายที่ปลายนิ้วชี้ ซึ่งยาปริมาณ 1 FTU จะมีน้ำหนักประมาณ 0.5 กรัม สำหรับการทายาบาง ๆ ที่ครอบคลุมพื้นที่ผิวหนังประมาณ 2% ของร่างกายผู้ใหญ่ (ประมาณ 2 ฝ่ามือ)
Atopic Dermatitis_Management 1
การจัดการโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ด้วยยาทาภายนอกมี 2 แนวทาง ได้แก่ การจัดการแบบตอบสนอง (reactive management) และการจัดการแบบเชิงรุก (proactive management)
- การจัดการแบบตอบสนอง คือ การใช้ยาเมื่อพบรอยโรคที่ผิวหนังและหยุดหรือค่อย ๆ ลดปริมาณการใช้เมื่อรอยโรคที่มองเห็นได้หายไปหรือเกือบหายไป
- การจัดการแบบเชิงรุก คือ การทายาอย่างต่อเนื่อง โดยทายา 2 ครั้งต่อสัปดาห์ที่ผิวหนังบริเวณที่เคยมีรอยโรคเกิดซ้ำบ่อย ๆ ร่วมกับการใช้มอยส์เจอไรเซอร์ทุกวัน ซึ่งการจัดการวิธีนี้จะเริ่มเมื่อควบคุมอาการกำเริบด้วยยาทาภายนอกตามปกติแล้ว ทั้งนี้ระยะเวลาของการรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงและระยะเวลาของรอยโรค
การรักษาด้วยยาชนิดรับประทานหรือฉีด (Systemic Therapy)
การรักษาวิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีคะแนนความรุนแรงของโรคสูง (เช่น SCORAD >50) ผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาทาภายนอก หรือมีการตอบสนองเพียงบางส่วนและอาการของโรคยังรบกวนการดำเนินชีวิตประจำวันอยู่ และอาจพิจารณาใช้การรักษาด้วยแสงอัลตราไวโอเลต (UV) ร่วมด้วย
นอกจากนี้ ผู้ป่วยบางรายที่ต้องใช้ยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ความแรงสูงในปริมาณมากเพื่อควบคุมอาการ สามารถใช้ยาชนิดรับประทานหรือยาฉีดเพื่อช่วยควบคุมอาการของโรค ซึ่งจะช่วยให้สามารถลดปริมาณยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ลงและลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงจากยาทาในระยะยาวได้
เป้าหมายของการรักษาโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ คือ การลดอาการ ทำให้ผิวกลับมาเป็นปกติให้ได้มากที่สุด ป้องกันการกำเริบ และทำให้โรคสงบได้ในระยะยาว เป้าหมายอื่น ๆ ได้แก่ การทำให้คะแนนความรุนแรงของโรคให้ดีขึ้น 75% การปรับปรุงคุณภาพชีวิต ลดความเสี่ยงจากการรักษา และหลีกเลี่ยงอาการไม่พึงประสงค์จากยา
การรักษาด้วยยาทาภายนอก (Topical Therapy) ยาทาภายนอกมีข้อบ่งใช้สำหรับการรักษาโรคที่ยังควบคุมไม่ได้หรือโรคที่กำลังแสดงอาการหรือมีการกำเริบ [การเหนี่ยวนำให้โรคสงบ (induction of remission)] และสำหรับการรักษาเป็นครั้งคราวสำหรับการอักเสบที่ไม่แสดงอาการ และการป้องกันการกำเริบในอนาคต [การรักษาให้โรคสงบ (maintenance of remission)] การรักษาอย่างต่อเนื่องมีความสำคัญในการป้องกันการกำเริบ การเพิ่มระดับการรักษา ภาวะแทรกซ้อนและผลข้างเคียงจากยา
กฎหน่วยปลายนิ้ว (fingertip unit, FTU) ซึ่งเป็นปริมาณของยาที่บีบออกจากหลอดที่มีช่องเปิดที่ปลายหลอดขนาด 5 มม. และมีความยาวเท่ากับข้อพับสุดท้ายที่ปลายนิ้วชี้ ซึ่งยาปริมาณ 1 FTU จะมีน้ำหนักประมาณ 0.5 กรัม สำหรับการทายาบาง ๆ ที่ครอบคลุมพื้นที่ผิวหนังประมาณ 2% ของร่างกายผู้ใหญ่ (ประมาณ 2 ฝ่ามือ)

การจัดการโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ด้วยยาทาภายนอกมี 2 แนวทาง ได้แก่ การจัดการแบบตอบสนอง (reactive management) และการจัดการแบบเชิงรุก (proactive management)
- การจัดการแบบตอบสนอง คือ การใช้ยาเมื่อพบรอยโรคที่ผิวหนังและหยุดหรือค่อย ๆ ลดปริมาณการใช้เมื่อรอยโรคที่มองเห็นได้หายไปหรือเกือบหายไป
- การจัดการแบบเชิงรุก คือ การทายาอย่างต่อเนื่อง โดยทายา 2 ครั้งต่อสัปดาห์ที่ผิวหนังบริเวณที่เคยมีรอยโรคเกิดซ้ำบ่อย ๆ ร่วมกับการใช้มอยส์เจอไรเซอร์ทุกวัน ซึ่งการจัดการวิธีนี้จะเริ่มเมื่อควบคุมอาการกำเริบด้วยยาทาภายนอกตามปกติแล้ว ทั้งนี้ระยะเวลาของการรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงและระยะเวลาของรอยโรค
การรักษาด้วยยาชนิดรับประทานหรือฉีด (Systemic Therapy)
การรักษาวิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีคะแนนความรุนแรงของโรคสูง (เช่น SCORAD >50) ผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาทาภายนอก หรือมีการตอบสนองเพียงบางส่วนและอาการของโรคยังรบกวนการดำเนินชีวิตประจำวันอยู่ และอาจพิจารณาใช้การรักษาด้วยแสงอัลตราไวโอเลต (UV) ร่วมด้วย
นอกจากนี้ ผู้ป่วยบางรายที่ต้องใช้ยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ความแรงสูงในปริมาณมากเพื่อควบคุมอาการ สามารถใช้ยาชนิดรับประทานหรือยาฉีดเพื่อช่วยควบคุมอาการของโรค ซึ่งจะช่วยให้สามารถลดปริมาณยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ลงและลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงจากยาทาในระยะยาวได้
การรักษาด้วยยา (Pharmacological Therapy)
ยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์
ยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ใช้เป็นการรักษาอันดับแรกสำหรับโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ตั้งแต่ระดับเล็กน้อยถึงรุนแรง และเมื่อการรักษาแบบไม่ใช้ยาไม่สามารถควบคุมอาการของโรคได้ ยากลุ่มนี้ช่วยบรรเทาอาการได้อย่างรวดเร็วสำหรับอาการกำเริบเฉียบพลันและยังใช้เพื่อป้องกันการกำเริบได้อีกด้วย
การเลือกผลิตภัณฑ์ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการกำเริบ การกระจายและตำแหน่งของรอยโรค อายุและความชอบของผู้ป่วย รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ เช่น ความชื้น
ยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและต้านอาการคันผ่านกลไกหลายอย่าง เช่น การเปลี่ยนแปลงจำนวนและการทำงานของเม็ดเลือดขาว การยับยั้งการปล่อยสาร เช่น histamine prostaglandin และช่วยเพิ่มการตอบสนองต่อยาอื่นที่เพิ่มสารที่เพิ่ม cyclic adenosine monophosphate (prostaglandin E2 และ histamine ผ่านตัวรับ histamine ชนิดที่ 2 [H2 receptor])
การใช้ยาโดยทั่วไป ให้ทาวันละ 1–2 ครั้งในผู้ป่วยที่มีโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ที่ยังควบคุมอาการไม่ได้ การรักษาเชิงรุกด้วยยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ที่มีฤทธิ์ปานกลาง (mid potency topical corticosteroids) ร่วมกับยาทากลุ่ม calcineurin inhibitors ในบริเวณที่กำเริบบ่อยจะช่วยควบคุมอาการของโรคได้ดีขึ้น
ควรเลือกใช้ยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ในขนาดความแรง (potency) และระยะเวลาที่เหมาะสมกับผู้ป่วย โดยเฉพาะในเด็กในหรือกรณีที่รอยโรคอยู่ในบริเวณผิวหนังที่บอบบาง (เช่น ใบหน้า คอ และข้อพับ)
ยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์มีความแรงหลายระดับ ตั้งแต่เล็กน้อย (mild) ถึงแรงมาก (very high) และรูปแบบของยายังมีผลต่อความแรงด้วยเช่นกัน เช่น ยาชนิดเดียวกัน หากเป็นแบบขี้ผึ้งจะมีความแรงมากกว่าครีม และครีมจะมีความแรงกว่าโลชัน ตามลำดับ)
ความแรงของยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์คนละชนิดมักไม่เกี่ยวข้องกับร้อยละความเข้มข้นของยาที่ระบุบนผลิตภัณฑ์ (เช่น hydrocortisone 2.5% จะเทียบเท่ากับ betamethasone dipropionate 0.05%) โดยทั่วไปควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความแรงน้อยที่สุดที่ช่วยควบคุมอาการของโรคได้ โดยเฉพาะถ้าต้องใช้ในระยะยาว ผลิตภัณฑ์ที่มีความแรงปานกลางและสูงอาจใช้เพื่อควบคุมการกำเริบเฉียบพลันในเบื้องต้นและเมื่อควบคุมอาการได้แล้วจึงเลือกใช้ยาที่ความแรงต่ำลง การหยุดใช้ยาทาความแรงสูงอย่างกะทันหันอาจทำให้อาการกำเริบได้ ดังนั้นควรลดความแรงลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป และการเลือกใช้ยาทาที่มีความแรงสูงขึ้นจะสามารถทำได้หากรอยโรคไม่ตอบสนองต่อการรักษา
การใช้ยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ความแรงต่ำถึงปานกลาง (low-to-mid potency) ร่วมกับ wet wrap therapy เป็นเวลาชั่วคราวอาจเป็นทางเลือกในการรักษาโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ที่ดื้อหรือไม่สามารถควบคุมอาการของโรคได้จากการใช้ยาทาความแรงปานกลางถึงสูง (mid-to-high potency) เพื่อให้อาการหายเร็วขึ้น
ยาน้ำใส (Solutions)
ยาน้ำใสเหมาะสำหรับใช้บริเวณหนังศีรษะหรือบริเวณที่มีขนดก แอลกอฮอล์ในสารละลายอาจทำให้เกิดการระคายเคืองเมื่อใช้กับรอยโรคที่อักเสบ
โลชัน (Lotions)
โลชันเหมาะสำหรับการใช้ในปริมาณน้อยบนพื้นที่ขนาดใหญ่หรือบริเวณที่มีขนดก นอกจากนี้ยังสามารถใช้กับรอยโรคที่สารคัดหลั่ง เช่น น้ำเหลือง ได้
ครีม (Creams)
ครีมเหมาะสำหรับรอยโรคที่ชื้นหรือมีสารคัดหลั่ง ในช่วงที่มีความร้อนหรือความชื้นสูง เนื่องจากทายาง่าย
ขี้ผึ้ง (Ointments)
ขี้ผึ้งมักจะใช้สำหรับรอยโรคที่แห้ง มีสะเก็ด หรือมีการหนาตัวของผิวหนัง หรือเมื่อจำเป็นต้องมีการปิดกั้นไม่ให้น้ำซึมผ่าน (occlusion) ซึ่งช่วยลดการระเหยของน้ำจากผิวหนัง
คอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดรับประทานหรือฉีด (Systemic Corticosteroids)1 การรักษาในระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) ด้วยคอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดรับประทานหรือฉีดควรพิจารณาเฉพาะในกรณีที่โรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ไม่ตอบสนองต่อการรักษา มีการกำเริบอย่างรุนแรงเฉียบพลัน และเป็นการรักษาชั่วคราวก่อนที่จะเปลี่ยนไปใช้การรักษาอื่นที่ไม่ใช้สเตียรอยด์
คอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดรับประทานหรือฉีดช่วยให้อาการดีขึ้นแต่อาจมีการกำเริบได้เมื่อหยุดใช้ยา ดังนั้นกรณียารับประทาน ควรใช้ยาในระยะสั้นเท่านั้นเพื่อลดโอกาสการกำเริบ และควรลดขนาดยาชนิดรับประทานอย่างช้า ๆ ในขณะที่เพิ่มการรักษาด้วยยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดทาร่วมกับการใช้มอยส์เจอไรเซอร์เพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวอย่างต่อเนื่อง 1 ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์มีหลายชนิด โปรดดูข้อมูลตำรับยาและคำแนะนำในการสั่งใช้ยาจาก MIMS ฉบับล่าสุด
Calcineurin Inhibitors – ยากดภูมิคุ้มกันชนิดทาภายนอก
เป็นยาที่ใช้ทดแทนยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์สำหรับการรักษาอาการทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ยากลุ่มนี้ยับยั้ง calcineurin จึงยับยั้งการถอดรหัสพันธุกรรมของไซโตไคน์ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการอักเสบใน T-cell ที่ถูกกระตุ้นแล้วหรือในเซลล์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการอักเสบ
ยากลุ่มนี้เป็นการรักษารอง (second line therapy) สำหรับโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ระดับปานกลางถึงรุนแรง และเป็นการรักษาหลักสำหรับทดแทนการใช้ยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ กรณีผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยคอร์ติโคสเตียรอยด์ เกิดอาการข้างเคียงจากการใช้ยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ เช่น ผิวหนังฝ่อหรือบาง หรือมีเส้นเลือดฝอยขยายตัว (telangiectasia) จำเป็นต้องใช้ยาในบริเวณผิวที่บาง เช่น ใบหน้า อวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือรอยพับของผิวหนัง หรือจำเป็นต้องใช้ยาในระยะยาว นอกจากนี้ยากลุ่มนี้อาจใช้ในกรณีที่มีข้อห้ามใช้ของยาทาภายนอกกลุ่มอื่น ๆ
ความถี่ในการใช้กลุ่มนี้คือวันละ 1–2 ครั้ง โดยอาจพิจารณาทาวันละครั้งก่อน ในผู้ป่วยที่มีโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ที่มีความแรงปานกลางถึงสูง (mid-to-high potency) แนะนำให้ใช้การรักษาแบบเชิงรุกในบริเวณที่มีการกำเริบบ่อยแม้จะมีการใช้ยาทา calcineurin inhibitors หรือยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ที่มีความแรงปานกลางอยู่แล้ว
ยานี้สามารถใช้ได้ในทุกบริเวณของผิวร่างกาย โดยเฉพาะใบหน้า มือ และเท้า และสามารถใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานานได้ โดยไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลือง (lymphoma) อย่างมีนัยสำคัญทางคลินิก
Pimecrolimus
Pimecrolimus เป็นยาที่มีงานวิจัยสนับสนุนความปลอดภัยและประสิทธิภาพในเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป รวมถึงผู้ใหญ่ที่เป็นโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ระดับเล็กน้อยถึงรุนแรง อาการคันจะบรรเทาลงตั้งแต่วันที่ 3 ของการใช้ยา และไม่ทำให้เกิดการฝ่อของผิวหนัง นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันการกำเริบและลดความจำเป็นในการใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อใช้ต่อเนื่องจนถึง 12 เดือน การเริ่มใช้ยานี้ตั้งแต่ระยะต้นของโรคมีประโยชน์ต่อการรักษาในระยะยาวมากกว่าการใช้มอยส์เจอไรเซอร์ร่วมกับการใช้ยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์
Tacrolimus
Tacrolimus เป็นยาที่แนะนำสำหรับผู้ใหญ่และเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไปที่เป็นโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ระดับเล็กน้อยถึงรุนแรง อาการของโรคมักจะดีขึ้นภายใน 3–7 วันหลังจากเริ่มใช้ยาและประสิทธิภาพของยายังคงอยู่เป็นเวลาอย่างน้อย 12 เดือน โดยทั่วไป ผู้ป่วยมักทนต่อยานี้ได้ดี โดยอาจมีอาการแสบร้อนหรือระคายเคืองผิวหนังเกิดขึ้นได้ชั่วคราว และมีอัตราการเกิดผิวหนังฝ่อน้อยกว่ายาคอร์ติโคสเตียรอยด์ การศึกษาที่สนับสนุนประสิทธิภาพของยา tacrolimus ในเด็ก เป็นการใช้ยา tacrolimus 0.03% เทียบกับยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ที่มีความแรงต่ำ และในผู้ใหญ่เป็นการใช้ยา tacrolimus 0.1% เทียบกับยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ที่มีความแรงปานกลาง
Phosphodiesterase Type-4 (PDE-4) Inhibitors
Apremilast
อาจพิจารณาใช้ยา apremilast ในผู้ป่วยที่มีอาการโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ระดับปานกลางถึงรุนแรงที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษามาตรฐาน แต่ยังจำเป็นต้องมีการศึกษาต่อไปเพื่อยืนยันประสิทธิภาพและความปลอดภัยของยา
Crisaborole
อาจพิจารณาใช้ยา crisaborole ในผู้ป่วยที่มีอาการโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ระดับเล็กน้อยถึงปานกลางในผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป การศึกษาพบว่าการใช้ crisaborole ช่วยให้อาการดีขึ้น เช่น อาการแดง อาการบวม และการมีน้ำเหลือง
การรักษาด้วยยากดภูมิคุ้มกันและยาชีววัตถุ (Immunosuppressants and biologic therapy)
Abrocitinib
Abrocitinib เป็นยารับประทานกลุ่ม Janus kinase (JAK) 1 inhibitors ที่ใช้ในการรักษาโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ระดับปานกลางถึงรุนแรงที่ไม่ตอบสนองต่อยาหรือไม่สามารถใช้ยาชนิดรับประทานหรือฉีดอื่น ๆ ได้ (รวมถึงยาชีววัตถุ) ยานี้สามารถใช้ร่วมกับหรือไม่ใช้ร่วมกับยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ แต่ไม่แนะนำให้ใช้ร่วมกับ JAK inhibitors อื่น ๆ ยากลุ่ม biologic immunomodulators หรือยากดภูมิอื่น ๆ
การศึกษาทางคลินิกขนาดใหญ่แบบสุ่มตัวอย่างจากผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์พบว่าการใช้ JAK inhibitors เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง (lymphoma และมะเร็งปอด), การเสียชีวิตทุกสาเหตุ (รวมถึงการเสียชีวิตจากโรคหัวใจอย่างฉับพลัน), เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์หลักเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด (major adverse cardiovascular events [MACE] เช่น การเสียชีวิตจากโรคหัวใจ หัวใจวาย และโรคหลอดเลือดสมอง), และการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน (รวมถึง pulmonary embolism และ venous และ arterial thrombosis) เทียบกับการใช้ยา tumor necrosis factor (TNF) inhibitors
Azathioprine
Azathioprine ใช้ในการรักษาโรคที่มีความรุนแรง ไม่ตอบสนองหรือมีข้อห้ามใช้ต่อยาอื่น ๆ เช่น cyclosporine เด็กส่วนใหญ่ตอบสนองต่อการใช้ยาในขนาดต่ำ ปัจจุบันมีหลักฐานสนับสนุนประสิทธิภาพของยา azathioprine ในการรักษาโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น ๆ มากขึ้น
ยานี้อาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ การทำงานของตับผิดปกติ และการกดไขกระดูกในผู้ป่วยที่พร่องเอนไซม์ thiopurine methyltransferase (TPMT) ทั้งนี้ อาจพิจารณาตรวจวัด TPMT activity ในระหว่างที่ใช้ยา azathioprine เพื่อช่วยประเมินความเสี่ยงของการเกิดการกดไขกระดูก (myelosuppression)
Baricitinib
Baricitinib เป็นยารับประทานชนิด selective JAK1 และ JAK2 inhibitor ที่ยับยั้งสัญญาณการตอบสนองของภูมิคุ้มกันและการอักเสบ ยานี้อาจใช้เป็นทางเลือกในการรักษาโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ระดับปานกลางถึงรุนแรงในผู้ใหญ่ที่ไม่ตอบสนองหรือมีข้อห้ามในการใช้ยากดภูมิคุ้มกันระบบอื่น ๆ (เช่น cyclosporine, methotrexate, azathioprine, mycophenolate mofetil) นอกจากนี้ยังอาจใช้เป็นยาทางเลือกแทน dupilumab และสามารถใช้ร่วมกับยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ได้
การศึกษาพบว่า การใช้ยา baricitinib ทั้งแบบที่ใช้ร่วมกับและไม่ใช้ร่วมกับคอร์ติโคสเตียรอยด์สามารถลดความรุนแรงและอาการของโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้เมื่อเทียบกับยาหลอก สิ่งสำคัญในการใช้ยานี้ คือ การประเมินผู้ป่วยหลังจากการรักษา 8 สัปดาห์ว่ามีการตอบสนองที่เพียงพอหรือไม่ การตอบสนองที่เพียงพอถูกกำหนดเป็นการลดลงอย่างน้อย 50% ในคะแนน EASI-50 และอย่างน้อย 4 คะแนนใน DLQI จากวันที่เริ่มการรักษา
Ciclosporin (Cyclosporin A หรือ cyclosporine)
Ciclosporin เป็นยาทางเลือกแรกสำหรับการใช้ระยะสั้นสำหรับโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้เรื้อรังที่รุนแรงและดื้อต่อการรักษาอื่น ๆ ในผู้ใหญ่ที่จำเป็นต้องได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ทั้งนี้เมื่อหยุดยาอาการของโรคอาจจะกลับมาอีกที่ระดับความรุนแรงเดิมหรือแตกต่างออกไปหลังจากหยุดการรักษา
Ciclosporin อาจพิจารณาใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ระดับปานกลางถึงรุนแรงที่ไม่ตอบสนองต่อยาอื่น ๆ ไม่สามารถทนอาการไม่พึงประสงค์จากยา หรือไม่สามารถใช้ยาที่มีความแรงระดับกลางถึงสูง รวมถึงยาชีววัตถุได้ ยานี้สามารถใช้ในเด็กและวัยรุ่นที่มีโรคระดับรุนแรงที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น ๆ การใช้ระยะยาวอาจเพิ่มความเสี่ยงของความดันโลหิตสูง และการทำงานของไตและตับผิดปกติ และไม่แนะนำให้ใช้ยาร่วมกับการรักษาด้วยแสง UV (เช่น UVA, UVB, PUVA) เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งผิวหนัง
Dupilumab
Dupilumab เป็น human monoclonal antibody ชนิด immunoglobulin (Ig) G4 ที่ได้รับการอนุมัติให้ใช้ในผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไปที่มีอาการโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ระดับปานกลางถึงรุนแรงที่ไม่สามารถควบคุมได้ ไม่สามารถทนต่ออาการไม่พึงประสงค์ของยาอื่น ๆ หรือไม่สามารถใช้การรักษาอันดับแรกได้ และเป็นผู้ที่เหมาะสมสำหรับการรักษาด้วยยาฉีด ยานี้จับกับหน่วยย่อย interleukin-4Ra (IL-4Ra) ซึ่งยับยั้งการตอบสนองที่เกิดจาก cytokine IL-4 และ IL-13 ซึ่งรวมถึงการปล่อย cytokine ที่ก่อให้เกิดการอักเสบ, chemokines, และ IgE อนึ่ง การใช้ยานี้แนะนำให้ใช้ร่วมกับ emollients และยาทาต้านการอักเสบตามความเหมาะสม
Lebrikizumab
Lebrikizumab เป็น monoclonal antibody ชนิด immunoglobulin G4 ที่ยับยั้งผลกระทบของ IL-13 ซึ่งได้รับการอนุมัติให้ใช้ในการรักษาโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ระดับปานกลางถึงรุนแรงในผู้ใหญ่และวัยรุ่นที่มีอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไปและมีน้ำหนักตัวอย่างน้อย 40 กิโลกรัมที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยยาฉีด
Lebrikizumab สามารถใช้ร่วมกับยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์หรือไม่ก็ได้ การศึกษาทางคลินิกในระยะที่ 2 พบว่าการใช้ lebrikizumab ช่วยให้อาการของผู้ป่วยโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ระดับปานกลางถึงรุนแรงดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และมีความทนต่อยาดีเมื่อใช้ร่วมกับยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์
Methotrexate
Methotrexate อาจพิจารณาใช้ในโรคที่มีความรุนแรงหรือไม่ตอบสนองต่อยาอื่น เช่น ciclosporin หรือมีข้อห้ามใช้ ciclosporin การศึกษาพบว่าประสิทธิภาพของ methotrexate ในการรักษาโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้เทียบเท่ากับ azathioprine และ ciclosporin
Ruxolitinib
Ruxolitinib เป็นยาชนิดทาภายนอกในกลุ่ม selective JAK1 and JAK2 inhibitors ที่ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (US FDA) เพื่อรักษาระยะสั้นในโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ระดับเล็กน้อยถึงปานกลางในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันปกติที่มีอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไปที่โรคไม่สามารถควบคุมได้ด้วยการรักษาทาผิวหนังอื่น ๆ
Tralokinumab
Tralokinumab แนะนำให้ใช้ในผู้ใหญ่และเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไปที่มีอาการโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ระดับปานกลางถึงรุนแรงที่ไม่สามารถควบคุมได้, ไม่สามารถทนต่ออาการไม่พึงประสงค์จากยาอื่น ๆ หรือไม่สามารถใช้การรักษาชนิดทาผิวหนังได้ และเป็นผู้ที่เหมาะสมสำหรับการรักษาด้วยยาฉีด ยานี้เป็น monoclonal antibody ชนิด IgG4 ที่มีความสามารถในการจับยึดสูง (high affinity) ต่อ IL-13 และส่งผลลบล้างฤทธิ์ของ IL-13 ยานี้อาจพิจารณาใช้ร่วมกับยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ ยาทา calcineurin inhibitors และการรักษาด้วยแสง UV ได้
Upadacitinib
Upadacitinib เป็นยารูปแบบรับประทานชนิด selective and reversible JAK inhibitors (โดยเฉพาะ JAK1 หรือ JAK1/3) ซึ่งเป็นเอนไซม์ภายในเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับการกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดและการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันในวิถีการส่งสัญญาณของเซลล์ (cell signaling pathway)
ยานี้ใช้ในผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไปที่มีโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ระดับปานกลางถึงรุนแรงที่ไม่ตอบสนองต่อยาอื่น ๆ และไม่สามารถควบคุมได้ด้วยยาอื่น ๆ (รวมถึง biologics) หรือเมื่อไม่สามารถใช้การรักษาเหล่านั้นได้ ไม่แนะนำให้ใช้ร่วมกับ JAK inhibitors อื่น ๆ biologic immunomodulators หรือยากดภูมิคุ้มกันอื่น ๆ
การทดลองทางคลินิกที่มีการสุ่มตัวอย่างขนาดใหญ่ในผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ พบว่าการใช้ upadacitinib เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง (lymphoma และมะเร็งปอด), การเสียชีวิตทุกสาเหตุ (รวมถึงการเสียชีวิตจากโรคหัวใจอย่างฉับพลัน), เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์หลักทางหัวใจและหลอดเลือด (MACE; เช่น การเสียชีวิตจากโรคหัวใจ, หัวใจวาย, และโรคหลอดเลือดสมอง), และการเกิดลิ่มเลือด (รวมถึง pulmonary embolism และ venous & arterial thrombosis) เมื่อเทียบกับ tumor necrosis factor (TNF) inhibitors
ยาชีววัตถุอื่น ๆ
ยาต่อไปนี้ ได้แก่ nemolizumab, rituximab, mepolizumab, omalizumab, และ ustekinumab ยังจำเป็นต้องได้รับการศึกษาเพื่อยืนยันประสิทธิภาพของยาในการรักษาโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ต่อไป การทดลองใช้ mepolizumab อาจพิจารณาในผู้ป่วยบางรายที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษามาตรฐาน สำหรับ nemolizumab และ tezepelumab กำลังอยู่ในระหว่างการศึกษาสำหรับโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้
Retinoid
Alitretinoin เป็นอนุพันธ์ของ isotretinoin ที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ใช้ในการรักษาโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ที่มืออย่างรุนแรงและเรื้อรังที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาอันดับแรก ยานี้สามารถใช้ร่วมกับยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ ยาทา calcineurin inhibitors และ emollients ได้
การรักษาด้วยภูมิคุ้มกันที่จำเพาะต่อสารก่อภูมิแพ้ (Allergen-specific Immunotherapy)
การรักษาด้วยภูมิคุ้มกันที่จำเพาะต่อสารก่อภูมิแพ้อาจพิจารณาใช้ในผู้ป่วยบางรายที่มีโรคที่รุนแรงและมีการไวต่อสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่น, ต้นเบิร์ช, หรือเกสรหญ้า และมีประวัติการกำเริบของโรคหลังจากสัมผัสหรือผลการทดสอบด้วยแผ่นแปะผิวหนัง (skin patch test) ที่เป็นบวก นอกจากนี้ยังอาจพิจารณาใช้ในผู้ป่วยที่มีโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ระดับปานกลางถึงรุนแรงที่ดื้อยา ไม่สามารถทนต่ออาการไม่พึงประสงค์ หรือไม่สามารถใช้การรักษาชนิดทาภายนอกที่มีความแรงระดับกลางได้
ยาต้านฮิสทามีน (Antihistamines)2
ยาต้านฮิสทามีนชนิดรับประทานที่ทำให้ง่วงนอนมักใช้เพื่อช่วยให้นอนหลับ บรรเทาอาการคันในตอนกลางคืน และเป็นการรักษาเสริมร่วมกับยาต้านการอักเสบชนิดทาภายนอก การศึกษาพบว่าประสิทธิภาพการควบคุมอาการคันของยาต้านฮิสทามีนชนิดรับประทานที่ไม่ทำให้ง่วงนอนนั้นยังคงไม่ชัดเจน แต่อาจมีประโยชน์ในผู้ป่วยบางกลุ่มที่มีอาการลมพิษร่วมด้วย ยาต้านฮิสทามีนชนิดทาผิวหนังมักไม่ช่วยบรรเทาอาการคันและอาจทำให้เกิดโรคผิวหนังอักเสบจากการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้
2โปรดดูที่ MIMS ฉบับล่าสุด สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับสูตรยาและคำแนะนำในการสั่งจ่ายยากดภูมิคุ้มกัน ยาต้านฮิสทามีน ยาปฏิชีวนะ ยาต้านเชื้อรา และยาต้านไวรัส
การติดเชื้อที่ผิวหนัง3
การติดเชื้อที่ผิวหนังควรได้รับการรักษาให้หายก่อนเริ่มใช้ยาต้านการอักเสบ แหล่งสะสมของเชื้อโรคอาจต้องได้รับการรักษาเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ (เช่น จมูก ขาหนีบ)
การติดเชื้อแบคทีเรีย
Staphylococcus aureus มักเป็นสาเหตุของการติดเชื้อในบริเวณที่เป็นผื่น อาจพิจารณารักษาด้วยยาทาผิวหนังระยะสั้นเช่น fusidic acid, mupirocin, neomycin, และ retapamulin ทั้งนี้ยา retapamulin แนะนำสำหรับเด็กที่มีอายุมากกว่า 9 เดือน ในขณะที่ neomycin อาจทำให้เกิดโรคผิวหนังอักเสบจากการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้
การรักษาด้วยยารับประทานอาจจำเป็นในกรณีที่มีการแพร่กระจายของเชื้อ การใช้ยา เช่น penicillins ที่ต้านมีฤทธิ์ต้านเชื้อ Staphylococcus (เช่น flucloxacillin, cloxacillin, dicloxacillin), macrolides (เช่น clarithromycin, erythromycin), cephalosporins รุ่นที่หนึ่งและสอง, และ clindamycin เป็นทางเลือกในการรักษาที่ดี สำหรับผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียทุติยภูมิ แนะนำให้ใช้ยา cloxacillin, dicloxacillin หรือ flucloxacillin เป็นการรักษาอันดับแรก โดยมียาทางเลือก คือ clarithromycin และ erythromycin
การติดเชื้อรา
การติดเชื้อราเป็นภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ในโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ การรักษาด้วยยาต้านเชื้อรา (ยาทาภายนอก เช่น ketoconazole และ ciclopirox olamine หรือ ยาชนิดรับประทาน เช่น itraconazole หรือ fluconazole) อาจพิจารณาในผู้ป่วย dermatophytosis หรือติดเชื้อรา Pityrosporum ovale
การติดเชื้อไวรัส
ผู้ป่วยอาจมีการติดเชื้อ herpes virus แบบทุติยภูมิ เช่น eczema herpeticum และ Kaposi’s varicelliform eruption ที่ต้องรักษาด้วย acyclovir หรือ valaciclovir ชนิดฉีดในโรงพยาบาล ยาทาผิวหนัง เช่น potassium hydroxide (KOH), cantharidin, tretinoin, หรือ cidofovir, และการรักษาทางกายภาพ เช่น cryotherapy อาจใช้สำหรับ eczema molluscatum
3โปรดดูที่ MIMS ฉบับล่าสุด สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับสูตรยาและคำแนะนำในการสั่งจ่ายยาปฏิชีวนะ ยาต้านเชื้อรา และยาต้านไวรัส
ทางเลือกในการรักษาด้วยยาอื่น ๆ (Other Pharmacotherapeutic Options)
Probiotics, sodium cromoglycate ชนิดทาผิวหนัง, วิตามิน D, tofacitinib, mast cell stabilizers, และ leukotriene antagonists (เช่น montelukast) ยังจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันประสิทธิภาพในการรักษาโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ การเสริมวิตามิน D และการใช้ prebiotics หรือ probiotics อาจช่วยลดอาการได้ แต่ไม่แนะนำให้ใช้เป็นประจำ
ยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ใช้เป็นการรักษาอันดับแรกสำหรับโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ตั้งแต่ระดับเล็กน้อยถึงรุนแรง และเมื่อการรักษาแบบไม่ใช้ยาไม่สามารถควบคุมอาการของโรคได้ ยากลุ่มนี้ช่วยบรรเทาอาการได้อย่างรวดเร็วสำหรับอาการกำเริบเฉียบพลันและยังใช้เพื่อป้องกันการกำเริบได้อีกด้วย
การเลือกผลิตภัณฑ์ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการกำเริบ การกระจายและตำแหน่งของรอยโรค อายุและความชอบของผู้ป่วย รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ เช่น ความชื้น
ยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและต้านอาการคันผ่านกลไกหลายอย่าง เช่น การเปลี่ยนแปลงจำนวนและการทำงานของเม็ดเลือดขาว การยับยั้งการปล่อยสาร เช่น histamine prostaglandin และช่วยเพิ่มการตอบสนองต่อยาอื่นที่เพิ่มสารที่เพิ่ม cyclic adenosine monophosphate (prostaglandin E2 และ histamine ผ่านตัวรับ histamine ชนิดที่ 2 [H2 receptor])
การใช้ยาโดยทั่วไป ให้ทาวันละ 1–2 ครั้งในผู้ป่วยที่มีโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ที่ยังควบคุมอาการไม่ได้ การรักษาเชิงรุกด้วยยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ที่มีฤทธิ์ปานกลาง (mid potency topical corticosteroids) ร่วมกับยาทากลุ่ม calcineurin inhibitors ในบริเวณที่กำเริบบ่อยจะช่วยควบคุมอาการของโรคได้ดีขึ้น
ควรเลือกใช้ยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ในขนาดความแรง (potency) และระยะเวลาที่เหมาะสมกับผู้ป่วย โดยเฉพาะในเด็กในหรือกรณีที่รอยโรคอยู่ในบริเวณผิวหนังที่บอบบาง (เช่น ใบหน้า คอ และข้อพับ)
ยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์มีความแรงหลายระดับ ตั้งแต่เล็กน้อย (mild) ถึงแรงมาก (very high) และรูปแบบของยายังมีผลต่อความแรงด้วยเช่นกัน เช่น ยาชนิดเดียวกัน หากเป็นแบบขี้ผึ้งจะมีความแรงมากกว่าครีม และครีมจะมีความแรงกว่าโลชัน ตามลำดับ)
ความแรงของยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์คนละชนิดมักไม่เกี่ยวข้องกับร้อยละความเข้มข้นของยาที่ระบุบนผลิตภัณฑ์ (เช่น hydrocortisone 2.5% จะเทียบเท่ากับ betamethasone dipropionate 0.05%) โดยทั่วไปควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความแรงน้อยที่สุดที่ช่วยควบคุมอาการของโรคได้ โดยเฉพาะถ้าต้องใช้ในระยะยาว ผลิตภัณฑ์ที่มีความแรงปานกลางและสูงอาจใช้เพื่อควบคุมการกำเริบเฉียบพลันในเบื้องต้นและเมื่อควบคุมอาการได้แล้วจึงเลือกใช้ยาที่ความแรงต่ำลง การหยุดใช้ยาทาความแรงสูงอย่างกะทันหันอาจทำให้อาการกำเริบได้ ดังนั้นควรลดความแรงลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป และการเลือกใช้ยาทาที่มีความแรงสูงขึ้นจะสามารถทำได้หากรอยโรคไม่ตอบสนองต่อการรักษา
การใช้ยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ความแรงต่ำถึงปานกลาง (low-to-mid potency) ร่วมกับ wet wrap therapy เป็นเวลาชั่วคราวอาจเป็นทางเลือกในการรักษาโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ที่ดื้อหรือไม่สามารถควบคุมอาการของโรคได้จากการใช้ยาทาความแรงปานกลางถึงสูง (mid-to-high potency) เพื่อให้อาการหายเร็วขึ้น
ยาน้ำใส (Solutions)
ยาน้ำใสเหมาะสำหรับใช้บริเวณหนังศีรษะหรือบริเวณที่มีขนดก แอลกอฮอล์ในสารละลายอาจทำให้เกิดการระคายเคืองเมื่อใช้กับรอยโรคที่อักเสบ
โลชัน (Lotions)
โลชันเหมาะสำหรับการใช้ในปริมาณน้อยบนพื้นที่ขนาดใหญ่หรือบริเวณที่มีขนดก นอกจากนี้ยังสามารถใช้กับรอยโรคที่สารคัดหลั่ง เช่น น้ำเหลือง ได้
ครีม (Creams)
ครีมเหมาะสำหรับรอยโรคที่ชื้นหรือมีสารคัดหลั่ง ในช่วงที่มีความร้อนหรือความชื้นสูง เนื่องจากทายาง่าย
ขี้ผึ้ง (Ointments)
ขี้ผึ้งมักจะใช้สำหรับรอยโรคที่แห้ง มีสะเก็ด หรือมีการหนาตัวของผิวหนัง หรือเมื่อจำเป็นต้องมีการปิดกั้นไม่ให้น้ำซึมผ่าน (occlusion) ซึ่งช่วยลดการระเหยของน้ำจากผิวหนัง
คอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดรับประทานหรือฉีด (Systemic Corticosteroids)1 การรักษาในระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) ด้วยคอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดรับประทานหรือฉีดควรพิจารณาเฉพาะในกรณีที่โรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ไม่ตอบสนองต่อการรักษา มีการกำเริบอย่างรุนแรงเฉียบพลัน และเป็นการรักษาชั่วคราวก่อนที่จะเปลี่ยนไปใช้การรักษาอื่นที่ไม่ใช้สเตียรอยด์
คอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดรับประทานหรือฉีดช่วยให้อาการดีขึ้นแต่อาจมีการกำเริบได้เมื่อหยุดใช้ยา ดังนั้นกรณียารับประทาน ควรใช้ยาในระยะสั้นเท่านั้นเพื่อลดโอกาสการกำเริบ และควรลดขนาดยาชนิดรับประทานอย่างช้า ๆ ในขณะที่เพิ่มการรักษาด้วยยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดทาร่วมกับการใช้มอยส์เจอไรเซอร์เพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวอย่างต่อเนื่อง 1 ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์มีหลายชนิด โปรดดูข้อมูลตำรับยาและคำแนะนำในการสั่งใช้ยาจาก MIMS ฉบับล่าสุด
Calcineurin Inhibitors – ยากดภูมิคุ้มกันชนิดทาภายนอก
เป็นยาที่ใช้ทดแทนยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์สำหรับการรักษาอาการทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ยากลุ่มนี้ยับยั้ง calcineurin จึงยับยั้งการถอดรหัสพันธุกรรมของไซโตไคน์ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการอักเสบใน T-cell ที่ถูกกระตุ้นแล้วหรือในเซลล์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการอักเสบ
ยากลุ่มนี้เป็นการรักษารอง (second line therapy) สำหรับโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ระดับปานกลางถึงรุนแรง และเป็นการรักษาหลักสำหรับทดแทนการใช้ยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ กรณีผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยคอร์ติโคสเตียรอยด์ เกิดอาการข้างเคียงจากการใช้ยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ เช่น ผิวหนังฝ่อหรือบาง หรือมีเส้นเลือดฝอยขยายตัว (telangiectasia) จำเป็นต้องใช้ยาในบริเวณผิวที่บาง เช่น ใบหน้า อวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือรอยพับของผิวหนัง หรือจำเป็นต้องใช้ยาในระยะยาว นอกจากนี้ยากลุ่มนี้อาจใช้ในกรณีที่มีข้อห้ามใช้ของยาทาภายนอกกลุ่มอื่น ๆ
ความถี่ในการใช้กลุ่มนี้คือวันละ 1–2 ครั้ง โดยอาจพิจารณาทาวันละครั้งก่อน ในผู้ป่วยที่มีโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ที่มีความแรงปานกลางถึงสูง (mid-to-high potency) แนะนำให้ใช้การรักษาแบบเชิงรุกในบริเวณที่มีการกำเริบบ่อยแม้จะมีการใช้ยาทา calcineurin inhibitors หรือยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ที่มีความแรงปานกลางอยู่แล้ว
ยานี้สามารถใช้ได้ในทุกบริเวณของผิวร่างกาย โดยเฉพาะใบหน้า มือ และเท้า และสามารถใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานานได้ โดยไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลือง (lymphoma) อย่างมีนัยสำคัญทางคลินิก
Pimecrolimus
Pimecrolimus เป็นยาที่มีงานวิจัยสนับสนุนความปลอดภัยและประสิทธิภาพในเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป รวมถึงผู้ใหญ่ที่เป็นโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ระดับเล็กน้อยถึงรุนแรง อาการคันจะบรรเทาลงตั้งแต่วันที่ 3 ของการใช้ยา และไม่ทำให้เกิดการฝ่อของผิวหนัง นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันการกำเริบและลดความจำเป็นในการใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อใช้ต่อเนื่องจนถึง 12 เดือน การเริ่มใช้ยานี้ตั้งแต่ระยะต้นของโรคมีประโยชน์ต่อการรักษาในระยะยาวมากกว่าการใช้มอยส์เจอไรเซอร์ร่วมกับการใช้ยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์
Tacrolimus
Tacrolimus เป็นยาที่แนะนำสำหรับผู้ใหญ่และเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไปที่เป็นโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ระดับเล็กน้อยถึงรุนแรง อาการของโรคมักจะดีขึ้นภายใน 3–7 วันหลังจากเริ่มใช้ยาและประสิทธิภาพของยายังคงอยู่เป็นเวลาอย่างน้อย 12 เดือน โดยทั่วไป ผู้ป่วยมักทนต่อยานี้ได้ดี โดยอาจมีอาการแสบร้อนหรือระคายเคืองผิวหนังเกิดขึ้นได้ชั่วคราว และมีอัตราการเกิดผิวหนังฝ่อน้อยกว่ายาคอร์ติโคสเตียรอยด์ การศึกษาที่สนับสนุนประสิทธิภาพของยา tacrolimus ในเด็ก เป็นการใช้ยา tacrolimus 0.03% เทียบกับยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ที่มีความแรงต่ำ และในผู้ใหญ่เป็นการใช้ยา tacrolimus 0.1% เทียบกับยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ที่มีความแรงปานกลาง
Phosphodiesterase Type-4 (PDE-4) Inhibitors
Apremilast
อาจพิจารณาใช้ยา apremilast ในผู้ป่วยที่มีอาการโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ระดับปานกลางถึงรุนแรงที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษามาตรฐาน แต่ยังจำเป็นต้องมีการศึกษาต่อไปเพื่อยืนยันประสิทธิภาพและความปลอดภัยของยา
Crisaborole
อาจพิจารณาใช้ยา crisaborole ในผู้ป่วยที่มีอาการโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ระดับเล็กน้อยถึงปานกลางในผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป การศึกษาพบว่าการใช้ crisaborole ช่วยให้อาการดีขึ้น เช่น อาการแดง อาการบวม และการมีน้ำเหลือง
การรักษาด้วยยากดภูมิคุ้มกันและยาชีววัตถุ (Immunosuppressants and biologic therapy)
Abrocitinib
Abrocitinib เป็นยารับประทานกลุ่ม Janus kinase (JAK) 1 inhibitors ที่ใช้ในการรักษาโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ระดับปานกลางถึงรุนแรงที่ไม่ตอบสนองต่อยาหรือไม่สามารถใช้ยาชนิดรับประทานหรือฉีดอื่น ๆ ได้ (รวมถึงยาชีววัตถุ) ยานี้สามารถใช้ร่วมกับหรือไม่ใช้ร่วมกับยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ แต่ไม่แนะนำให้ใช้ร่วมกับ JAK inhibitors อื่น ๆ ยากลุ่ม biologic immunomodulators หรือยากดภูมิอื่น ๆ
การศึกษาทางคลินิกขนาดใหญ่แบบสุ่มตัวอย่างจากผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์พบว่าการใช้ JAK inhibitors เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง (lymphoma และมะเร็งปอด), การเสียชีวิตทุกสาเหตุ (รวมถึงการเสียชีวิตจากโรคหัวใจอย่างฉับพลัน), เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์หลักเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด (major adverse cardiovascular events [MACE] เช่น การเสียชีวิตจากโรคหัวใจ หัวใจวาย และโรคหลอดเลือดสมอง), และการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน (รวมถึง pulmonary embolism และ venous และ arterial thrombosis) เทียบกับการใช้ยา tumor necrosis factor (TNF) inhibitors
Azathioprine
Azathioprine ใช้ในการรักษาโรคที่มีความรุนแรง ไม่ตอบสนองหรือมีข้อห้ามใช้ต่อยาอื่น ๆ เช่น cyclosporine เด็กส่วนใหญ่ตอบสนองต่อการใช้ยาในขนาดต่ำ ปัจจุบันมีหลักฐานสนับสนุนประสิทธิภาพของยา azathioprine ในการรักษาโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น ๆ มากขึ้น
ยานี้อาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ การทำงานของตับผิดปกติ และการกดไขกระดูกในผู้ป่วยที่พร่องเอนไซม์ thiopurine methyltransferase (TPMT) ทั้งนี้ อาจพิจารณาตรวจวัด TPMT activity ในระหว่างที่ใช้ยา azathioprine เพื่อช่วยประเมินความเสี่ยงของการเกิดการกดไขกระดูก (myelosuppression)
Baricitinib
Baricitinib เป็นยารับประทานชนิด selective JAK1 และ JAK2 inhibitor ที่ยับยั้งสัญญาณการตอบสนองของภูมิคุ้มกันและการอักเสบ ยานี้อาจใช้เป็นทางเลือกในการรักษาโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ระดับปานกลางถึงรุนแรงในผู้ใหญ่ที่ไม่ตอบสนองหรือมีข้อห้ามในการใช้ยากดภูมิคุ้มกันระบบอื่น ๆ (เช่น cyclosporine, methotrexate, azathioprine, mycophenolate mofetil) นอกจากนี้ยังอาจใช้เป็นยาทางเลือกแทน dupilumab และสามารถใช้ร่วมกับยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ได้
การศึกษาพบว่า การใช้ยา baricitinib ทั้งแบบที่ใช้ร่วมกับและไม่ใช้ร่วมกับคอร์ติโคสเตียรอยด์สามารถลดความรุนแรงและอาการของโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้เมื่อเทียบกับยาหลอก สิ่งสำคัญในการใช้ยานี้ คือ การประเมินผู้ป่วยหลังจากการรักษา 8 สัปดาห์ว่ามีการตอบสนองที่เพียงพอหรือไม่ การตอบสนองที่เพียงพอถูกกำหนดเป็นการลดลงอย่างน้อย 50% ในคะแนน EASI-50 และอย่างน้อย 4 คะแนนใน DLQI จากวันที่เริ่มการรักษา
Ciclosporin (Cyclosporin A หรือ cyclosporine)
Ciclosporin เป็นยาทางเลือกแรกสำหรับการใช้ระยะสั้นสำหรับโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้เรื้อรังที่รุนแรงและดื้อต่อการรักษาอื่น ๆ ในผู้ใหญ่ที่จำเป็นต้องได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ทั้งนี้เมื่อหยุดยาอาการของโรคอาจจะกลับมาอีกที่ระดับความรุนแรงเดิมหรือแตกต่างออกไปหลังจากหยุดการรักษา
Ciclosporin อาจพิจารณาใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ระดับปานกลางถึงรุนแรงที่ไม่ตอบสนองต่อยาอื่น ๆ ไม่สามารถทนอาการไม่พึงประสงค์จากยา หรือไม่สามารถใช้ยาที่มีความแรงระดับกลางถึงสูง รวมถึงยาชีววัตถุได้ ยานี้สามารถใช้ในเด็กและวัยรุ่นที่มีโรคระดับรุนแรงที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น ๆ การใช้ระยะยาวอาจเพิ่มความเสี่ยงของความดันโลหิตสูง และการทำงานของไตและตับผิดปกติ และไม่แนะนำให้ใช้ยาร่วมกับการรักษาด้วยแสง UV (เช่น UVA, UVB, PUVA) เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งผิวหนัง
Dupilumab
Dupilumab เป็น human monoclonal antibody ชนิด immunoglobulin (Ig) G4 ที่ได้รับการอนุมัติให้ใช้ในผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไปที่มีอาการโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ระดับปานกลางถึงรุนแรงที่ไม่สามารถควบคุมได้ ไม่สามารถทนต่ออาการไม่พึงประสงค์ของยาอื่น ๆ หรือไม่สามารถใช้การรักษาอันดับแรกได้ และเป็นผู้ที่เหมาะสมสำหรับการรักษาด้วยยาฉีด ยานี้จับกับหน่วยย่อย interleukin-4Ra (IL-4Ra) ซึ่งยับยั้งการตอบสนองที่เกิดจาก cytokine IL-4 และ IL-13 ซึ่งรวมถึงการปล่อย cytokine ที่ก่อให้เกิดการอักเสบ, chemokines, และ IgE อนึ่ง การใช้ยานี้แนะนำให้ใช้ร่วมกับ emollients และยาทาต้านการอักเสบตามความเหมาะสม
Lebrikizumab
Lebrikizumab เป็น monoclonal antibody ชนิด immunoglobulin G4 ที่ยับยั้งผลกระทบของ IL-13 ซึ่งได้รับการอนุมัติให้ใช้ในการรักษาโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ระดับปานกลางถึงรุนแรงในผู้ใหญ่และวัยรุ่นที่มีอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไปและมีน้ำหนักตัวอย่างน้อย 40 กิโลกรัมที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยยาฉีด
Lebrikizumab สามารถใช้ร่วมกับยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์หรือไม่ก็ได้ การศึกษาทางคลินิกในระยะที่ 2 พบว่าการใช้ lebrikizumab ช่วยให้อาการของผู้ป่วยโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ระดับปานกลางถึงรุนแรงดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และมีความทนต่อยาดีเมื่อใช้ร่วมกับยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์
Methotrexate
Methotrexate อาจพิจารณาใช้ในโรคที่มีความรุนแรงหรือไม่ตอบสนองต่อยาอื่น เช่น ciclosporin หรือมีข้อห้ามใช้ ciclosporin การศึกษาพบว่าประสิทธิภาพของ methotrexate ในการรักษาโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้เทียบเท่ากับ azathioprine และ ciclosporin
Ruxolitinib
Ruxolitinib เป็นยาชนิดทาภายนอกในกลุ่ม selective JAK1 and JAK2 inhibitors ที่ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (US FDA) เพื่อรักษาระยะสั้นในโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ระดับเล็กน้อยถึงปานกลางในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันปกติที่มีอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไปที่โรคไม่สามารถควบคุมได้ด้วยการรักษาทาผิวหนังอื่น ๆ
Tralokinumab
Tralokinumab แนะนำให้ใช้ในผู้ใหญ่และเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไปที่มีอาการโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ระดับปานกลางถึงรุนแรงที่ไม่สามารถควบคุมได้, ไม่สามารถทนต่ออาการไม่พึงประสงค์จากยาอื่น ๆ หรือไม่สามารถใช้การรักษาชนิดทาผิวหนังได้ และเป็นผู้ที่เหมาะสมสำหรับการรักษาด้วยยาฉีด ยานี้เป็น monoclonal antibody ชนิด IgG4 ที่มีความสามารถในการจับยึดสูง (high affinity) ต่อ IL-13 และส่งผลลบล้างฤทธิ์ของ IL-13 ยานี้อาจพิจารณาใช้ร่วมกับยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ ยาทา calcineurin inhibitors และการรักษาด้วยแสง UV ได้
Upadacitinib
Upadacitinib เป็นยารูปแบบรับประทานชนิด selective and reversible JAK inhibitors (โดยเฉพาะ JAK1 หรือ JAK1/3) ซึ่งเป็นเอนไซม์ภายในเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับการกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดและการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันในวิถีการส่งสัญญาณของเซลล์ (cell signaling pathway)
ยานี้ใช้ในผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไปที่มีโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ระดับปานกลางถึงรุนแรงที่ไม่ตอบสนองต่อยาอื่น ๆ และไม่สามารถควบคุมได้ด้วยยาอื่น ๆ (รวมถึง biologics) หรือเมื่อไม่สามารถใช้การรักษาเหล่านั้นได้ ไม่แนะนำให้ใช้ร่วมกับ JAK inhibitors อื่น ๆ biologic immunomodulators หรือยากดภูมิคุ้มกันอื่น ๆ
การทดลองทางคลินิกที่มีการสุ่มตัวอย่างขนาดใหญ่ในผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ พบว่าการใช้ upadacitinib เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง (lymphoma และมะเร็งปอด), การเสียชีวิตทุกสาเหตุ (รวมถึงการเสียชีวิตจากโรคหัวใจอย่างฉับพลัน), เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์หลักทางหัวใจและหลอดเลือด (MACE; เช่น การเสียชีวิตจากโรคหัวใจ, หัวใจวาย, และโรคหลอดเลือดสมอง), และการเกิดลิ่มเลือด (รวมถึง pulmonary embolism และ venous & arterial thrombosis) เมื่อเทียบกับ tumor necrosis factor (TNF) inhibitors
ยาชีววัตถุอื่น ๆ
ยาต่อไปนี้ ได้แก่ nemolizumab, rituximab, mepolizumab, omalizumab, และ ustekinumab ยังจำเป็นต้องได้รับการศึกษาเพื่อยืนยันประสิทธิภาพของยาในการรักษาโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ต่อไป การทดลองใช้ mepolizumab อาจพิจารณาในผู้ป่วยบางรายที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษามาตรฐาน สำหรับ nemolizumab และ tezepelumab กำลังอยู่ในระหว่างการศึกษาสำหรับโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้
Retinoid
Alitretinoin เป็นอนุพันธ์ของ isotretinoin ที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ใช้ในการรักษาโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ที่มืออย่างรุนแรงและเรื้อรังที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาอันดับแรก ยานี้สามารถใช้ร่วมกับยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ ยาทา calcineurin inhibitors และ emollients ได้
การรักษาด้วยภูมิคุ้มกันที่จำเพาะต่อสารก่อภูมิแพ้ (Allergen-specific Immunotherapy)
การรักษาด้วยภูมิคุ้มกันที่จำเพาะต่อสารก่อภูมิแพ้อาจพิจารณาใช้ในผู้ป่วยบางรายที่มีโรคที่รุนแรงและมีการไวต่อสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่น, ต้นเบิร์ช, หรือเกสรหญ้า และมีประวัติการกำเริบของโรคหลังจากสัมผัสหรือผลการทดสอบด้วยแผ่นแปะผิวหนัง (skin patch test) ที่เป็นบวก นอกจากนี้ยังอาจพิจารณาใช้ในผู้ป่วยที่มีโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ระดับปานกลางถึงรุนแรงที่ดื้อยา ไม่สามารถทนต่ออาการไม่พึงประสงค์ หรือไม่สามารถใช้การรักษาชนิดทาภายนอกที่มีความแรงระดับกลางได้
ยาต้านฮิสทามีน (Antihistamines)2
ยาต้านฮิสทามีนชนิดรับประทานที่ทำให้ง่วงนอนมักใช้เพื่อช่วยให้นอนหลับ บรรเทาอาการคันในตอนกลางคืน และเป็นการรักษาเสริมร่วมกับยาต้านการอักเสบชนิดทาภายนอก การศึกษาพบว่าประสิทธิภาพการควบคุมอาการคันของยาต้านฮิสทามีนชนิดรับประทานที่ไม่ทำให้ง่วงนอนนั้นยังคงไม่ชัดเจน แต่อาจมีประโยชน์ในผู้ป่วยบางกลุ่มที่มีอาการลมพิษร่วมด้วย ยาต้านฮิสทามีนชนิดทาผิวหนังมักไม่ช่วยบรรเทาอาการคันและอาจทำให้เกิดโรคผิวหนังอักเสบจากการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้
2โปรดดูที่ MIMS ฉบับล่าสุด สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับสูตรยาและคำแนะนำในการสั่งจ่ายยากดภูมิคุ้มกัน ยาต้านฮิสทามีน ยาปฏิชีวนะ ยาต้านเชื้อรา และยาต้านไวรัส
การติดเชื้อที่ผิวหนัง3
การติดเชื้อที่ผิวหนังควรได้รับการรักษาให้หายก่อนเริ่มใช้ยาต้านการอักเสบ แหล่งสะสมของเชื้อโรคอาจต้องได้รับการรักษาเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ (เช่น จมูก ขาหนีบ)
การติดเชื้อแบคทีเรีย
Staphylococcus aureus มักเป็นสาเหตุของการติดเชื้อในบริเวณที่เป็นผื่น อาจพิจารณารักษาด้วยยาทาผิวหนังระยะสั้นเช่น fusidic acid, mupirocin, neomycin, และ retapamulin ทั้งนี้ยา retapamulin แนะนำสำหรับเด็กที่มีอายุมากกว่า 9 เดือน ในขณะที่ neomycin อาจทำให้เกิดโรคผิวหนังอักเสบจากการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้
การรักษาด้วยยารับประทานอาจจำเป็นในกรณีที่มีการแพร่กระจายของเชื้อ การใช้ยา เช่น penicillins ที่ต้านมีฤทธิ์ต้านเชื้อ Staphylococcus (เช่น flucloxacillin, cloxacillin, dicloxacillin), macrolides (เช่น clarithromycin, erythromycin), cephalosporins รุ่นที่หนึ่งและสอง, และ clindamycin เป็นทางเลือกในการรักษาที่ดี สำหรับผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียทุติยภูมิ แนะนำให้ใช้ยา cloxacillin, dicloxacillin หรือ flucloxacillin เป็นการรักษาอันดับแรก โดยมียาทางเลือก คือ clarithromycin และ erythromycin
การติดเชื้อรา
การติดเชื้อราเป็นภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ในโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ การรักษาด้วยยาต้านเชื้อรา (ยาทาภายนอก เช่น ketoconazole และ ciclopirox olamine หรือ ยาชนิดรับประทาน เช่น itraconazole หรือ fluconazole) อาจพิจารณาในผู้ป่วย dermatophytosis หรือติดเชื้อรา Pityrosporum ovale
การติดเชื้อไวรัส
ผู้ป่วยอาจมีการติดเชื้อ herpes virus แบบทุติยภูมิ เช่น eczema herpeticum และ Kaposi’s varicelliform eruption ที่ต้องรักษาด้วย acyclovir หรือ valaciclovir ชนิดฉีดในโรงพยาบาล ยาทาผิวหนัง เช่น potassium hydroxide (KOH), cantharidin, tretinoin, หรือ cidofovir, และการรักษาทางกายภาพ เช่น cryotherapy อาจใช้สำหรับ eczema molluscatum
3โปรดดูที่ MIMS ฉบับล่าสุด สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับสูตรยาและคำแนะนำในการสั่งจ่ายยาปฏิชีวนะ ยาต้านเชื้อรา และยาต้านไวรัส
ทางเลือกในการรักษาด้วยยาอื่น ๆ (Other Pharmacotherapeutic Options)
Probiotics, sodium cromoglycate ชนิดทาผิวหนัง, วิตามิน D, tofacitinib, mast cell stabilizers, และ leukotriene antagonists (เช่น montelukast) ยังจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันประสิทธิภาพในการรักษาโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ การเสริมวิตามิน D และการใช้ prebiotics หรือ probiotics อาจช่วยลดอาการได้ แต่ไม่แนะนำให้ใช้เป็นประจำ
การรักษาที่ไม่ใช้ยา (Non-pharmacological Therapy)
การให้ความรู้แก่ผู้ป่วย
การให้ความรู้แก่ผู้ป่วยหรือผู้ดูแล
อธิบายลักษณะที่เรื้อรังของโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ ปัจจัยที่ทำให้โรคกำเริบ และทางเลือกในการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยหรือผู้ดูแล เน้นว่าโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้มักลดลงเมื่ออายุมากขึ้น อธิบายว่าเป้าหมายของการรักษาคือการควบคุมโรค ไม่ใช่การ "รักษา" และปัจจัยหลายอย่างอาจมีส่วนทำให้โรคกำเริบ ซึ่งมักไม่สามารถหาสาเหตุเฉพาะได้ ควรให้ความรู้แก่ผู้ป่วยหรือผู้ดูแลเกี่ยวกับการดูแลผิวที่ถูกต้อง (เช่น การอาบน้ำ การให้ความชุ่มชื้น และการใช้มอยส์เจอไรเซอร์) โดยทามอยส์เจอไรเซอร์หลังอาบน้ำภายใน 3 นาที วันละ 2–3 ครั้ง หรือบ่อยกว่านั้นเมื่อผิวแห้ง การศึกษาพบว่าการให้คำแนะนำที่ถูกต้องและเพียงพอเกี่ยวกับการใช้และการทามอยส์เจอไรเซอร์จะลดความรุนแรงของโรคและความจำเป็นในการการใช้ยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ได้ นอกจากนี้อาจสร้างความตระหนักรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโรค การจัดการความคาดหวัง และวินัยในการใช้ยา
ควรพูดคุยกับผู้ป่วยเกี่ยวกับการฝึกลดความเครียด เช่น การสร้างความผ่อนคลาย และการบำบัดความคิดและพฤติกรรม (cognitive behavioral therapy, CBT) และการบำบัดพฤติกรรมเพื่อหยุดการเกาแบบเคยชิน ควรอธิบายความสำคัญของการปฏิบัติตามคำแนะนำการรักษา การใช้ยาที่เหมาะสม ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยาเป็นเวลานาน และการทายาหลังจากทามอยส์เจอไรเซอร์ 10–15 นาที
แนะนำผู้ป่วยให้ตัดเล็บให้สั้นและสวมถุงมือผ้าฝ้ายในเวลากลางคืนเพื่อลดการเกา
การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต Lifestyle Modification
การหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น
การค้นหาและกำจัดปัจจัยกระตุ้น
การค้นหาปัจจัยกระตุ้นอาการภูมิแพ้โดยการซักประวัติอย่างละเอียดเป็นสิ่งสำคัญ และการทดสอบภูมิแพ้ที่จำเพาะอาจใช้เพื่อยืนยันสาเหตุได้ดี อย่างไรก็ตาม การทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง (skin prick test) และการตรวจเลือดเพื่อหา IgE ที่จำเพาะกับสารก่อภูมิแพ้จะมีประโยชน์ในกรณีที่มีสารก่อภูมิแพ้ที่สงสัยแล้ว ผลตรวจที่เป็นลบมีประโยชน์ในการตัดสารก่อภูมิแพ้ที่สงสัยออก การทดสอบภูมิแพ้ในหลอดทดลองหรือการทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนังที่เป็นบวก (โดยเฉพาะอาหาร) อาจไม่สัมพันธ์กับอาการทางคลินิกเสมอไป ดังนั้นจึงอาจจำเป็นต้องมีการทดสอบเพิ่มเติม เช่น การทดสอบอาหารที่มีกลุ่มควบคุม (controlled food challenges), การทดสอบแผ่นปะภูมิแพ้ (skin patch test), หรือการเลี่ยงอาหาร (elimination diets) การทดสอบภูมิแพ้อาหารแบบมีกลุ่มควบคุมอาจพิจารณาในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีที่มีอาการปานกลางถึงรุนแรงหรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาและ/หรือมีประวัติการแพ้อาหารหลังจากการสัมผัสอาหารนั้น เด็กส่วนใหญ่จะหายจากการแพ้อาหารภายในไม่กี่ปีแรกของชีวิต การทดสอบแผ่นปะอาจทำได้หากสงสัยว่ามีโรคผิวหนังอักเสบจากการสัมผัส เช่น โรคผิวหนังที่ฝ่ามือหรือใบหน้า แนะนำผู้ป่วยให้หลีกเลี่ยงอาหารที่ระบุว่าเป็นสารก่อภูมิแพ้ในการทดสอบอาหารที่มีกลุ่มควบคุม การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ (เช่น ไรฝุ่นในบ้าน) อาจช่วยให้อาการดีขึ้น
แนะนำผู้ป่วยให้ใช้เครื่องนอนกันไรฝุ่น ซักเครื่องนอนทุกสัปดาห์ในน้ำร้อน (>58°C) นำพรมและม่านออกจากห้องนอน และลดความชื้นในบ้านให้ต่ำกว่า 60% มีข้อมูลแสดงให้เห็นว่าการบำบัดภูมิแพ้เฉพาะสารก่อภูมิแพ้ (specific allergen immunotherapy) อาจเป็นทางเลือกในการรักษาผู้ป่วยที่มีความไวต่อสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ
โดยส่วนใหญ่ ปัจจัยกระตุ้นการแพ้มักไม่สามารถระบุได้อย่างเฉพาะเจาะจง ดังนั้นแนะนำผู้ป่วยให้ใช้วิธีการหลีกเลี่ยงแบบองค์รวม (holistic approach to allergen avoidance) เนื่องจากปัจจัยกระตุ้นมักจะมีหลายอย่าง ปัจจัยกระตุ้นทั่วไปสำหรับโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ ได้แก่ เสื้อผ้าขนสัตว์ ละอองเกสร อุณหภูมิที่ร้อนหรือหนาวเกินไป เหงื่อ ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำหอมหรือสารกันเสีย อาหาร ควันบุหรี่ และขนสัตว์ ปัจจัยทางอารมณ์ (เช่น ความวิตกกังวล ความเครียด และความโกรธ) อาจกระตุ้นโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้หรือทำให้โรคกำเริบได้ ดังนั้นการประเมินทางจิตวิทยาและการให้คำปรึกษาในผู้ป่วยที่มีปัญหากับปัจจัยกระตุ้นทางอารมณ์หรือปัญหาทางจิตวิทยาอาจช่วยบรรเทาอาการของโรคได้
การดูแลผิว1 (Skin Care)
เน้นความสำคัญของการดูแลผิวแบบองค์รวม ได้แก่ การทำความสะอาด การให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง การรักษาด้วยยา และการป้องกันแสงแดด การบรรเทาอาการและลดผลข้างเคียงของการรักษาจากยาทาภายนอก เช่น ยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ อาจช่วยให้การใช้ยามีความต่อเนื่องมากขึ้น
การดูแลผิวอย่างเหมาะสมช่วยลดการเกิดอาการกำเริบและเพิ่มระยะเวลาระหว่างการเกิดอาการ การให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวด้วยมอยส์เจอไรเซอร์และการฟื้นฟูสุขภาพผิวเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ การทำความสะอาดผิวอย่างเหมาะสมด้วยผลิตภัณฑ์ เช่น สบู่ สบู่สังเคราะห์ปราศจากด่าง (syndet) รวมถึงการใช้น้ำยาฆ่าเชื้อและยาปฏิชีวนะเฉพาะที่อาจช่วยฟื้นฟูไมโครไบโอมของผิวหนังให้เป็นปกติ
การอาบน้ำ
การอาบน้ำเป็นวิธีกำจัดคราบสกปรก แบคทีเรีย สารก่อภูมิแพ้ และสารระคายเคืองที่ดี โดยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่เหมาะสมมักมีคุณสมบัติ เช่น ใช้สารทดแทนสบู่ที่มีการทำลายไขมันน้อยที่สุด มีส่วนผสมของมอยส์เจอร์ไรเซอร์ ปราศจากน้ำหอม ไม่มีสารก่อภูมิแพ้ และมีค่า pH เป็นกลางถึงต่ำ
อุณหภูมิน้ำอุ่นที่เหมาะสมสำหรับการอาบน้ำ คือ ประมาณ 38–40°C เนื่องจากอุณหภูมิที่มากกว่าหรือเท่ากับ 42°C มักกระตุ้นให้เกิดอาการคัน แนะนำผู้ป่วยให้ใช้สบู่ล้างบริเวณมือ เท้า อวัยวะเพศ และรักแร้เป็นหลัก และจำกัดการอาบน้ำวันละครั้งเป็นเวลา 5–10 นาทีโดยใช้น้ำอุ่นหรืออุณหภูมิห้อง ซับตัวให้แห้งหลังอาบน้ำและใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์หรือน้ำมันอาบน้ำภายใน 2–3 นาทีหลังอาบน้ำ
อาจพิจารณาใช้การแช่ผิวหนังในน้ำยาเพื่อฆ่าเชื้อโรค การแช่ผิวหนังด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ (bleach baths) เสริมกับการรักษาด้วยยาทาภายนอกในผู้ป่วยโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ปานกลางถึงรุนแรงหรือเป็นเรื้อรังและไม่ตอบสนองต่อยาอื่น ๆ มีการศึกษาพบว่าการทำ bleach bath เป็นประจำ (ใช้สารละลาย hypochlorite ความเข้มข้น 6% มาเจือจางด้วยน้ำในอัตราส่วน 1:1,200 และแช่ 10 นาที สัปดาห์ละ 3 ครั้ง) ช่วยลดการติดเชื้อแบคทีเรีย (เช่น Staphylococcus aureus) ความรุนแรงของโรค และการเกิดอาการกำเริบได้ การทำ bleach bath ร่วมกับการใช้ยาขี้ผึ้ง mupirocin ป้ายในจมูกทั้งสองข้างมีประโยชน์สำหรับผู้ป่วยที่มีโรคปานกลางถึงรุนแรงที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน
การอาบน้ำเกลืออาจใช้เพื่อช่วยกำจัดเศษผิวหนังหรือเคราตินที่หมดสภาพแล้ว ผลิตภัณฑ์ oatmeal ที่ผสมลงในอ่างอาบน้ำอาจช่วยให้บรรเทาอาการแต่ไม่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นของผิว การแช่น้ำแร่อาจพิจารณาในผู้ป่วยที่มีโรคปานกลางถึงรุนแรง สำหรับยาทาเฉพาะที่ ควรทาหลังอาบน้ำจะดีที่สุดเนื่องจากการซึมผ่านของผิวที่ชุ่มชื้นมากขึ้น
1โปรดดูที่ MIMS ฉบับล่าสุด สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
มอยส์เจอร์ไรเซอร์
มอยส์เจอร์ไรเซอร์เป็นการดูแลหลักที่สำคัญในการรักษาโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้เนื่องจากช่วยฟื้นฟูทำงานของชั้นผิว ลดการเกิดอาการกำเริบ เพิ่มระยะเวลาระหว่างการเกิดอาการกำเริบ และช่วยลดการใช้ยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์
Atopic Dermatitis_Management 2
ควรใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์สำหรับโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ในทุกระดับความรุนแรง และรวมถึงในช่วงที่มีอาการกำเริบเฉียบพลัน มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่เลือกใช้ ควรมีคุณสมบัติต้านการอักเสบและมีสารต้านอนุมูลอิสระ มีสารให้ความชุ่มชื้นชนิดน้ำในน้ำมัน (water in oil emollient) หรือมีสารที่ช่วยกักเก็บและดูดความชื้นให้แก่ผิวหนัง สารดังกล่าวมีประโยชน์ในการรักษาโรคที่กำลังมีอาการและช่วยในการป้องกันการกำเริบ และช่วยฟื้นฟูและปกป้องชั้นหนังกำพร้า สารให้ความชุ่มชื้น (เช่น glycerol stearate, lanolin, soy sterols) ช่วยให้ผิวหนังมีความนุ่ม ลื่น และช่วยปกป้องชั้นผิวหนัง สารให้ความชุ่มชื้นที่ถูกพัฒนาขึ้นใหม่อาจมีส่วนประกอบที่มีผลดีต่อไมโครไบโอมของผิวหนังในผู้ป่วยโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ สารเคลือบผิว (occlusive agents) เช่น dimeticone, mineral oil, petrolatum ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันการระเหยของน้ำที่ผิว สารดูดความชื้น (humectants) เช่น urea, glycerol, lactic acid, pyrrolidone carboxylic acid (PCA) ช่วยรักษาความชุ่มชื้นในชั้นหนังกำพร้าซึ่งส่งเสริมประสิทธิภาพของชั้นหนังกำพร้า
การศึกษาทางคลินิกพบว่าการใช้มอยส์เจอไรเซอร์อย่างเหมาะสมช่วยลดความรุนแรงของของโรค อาการคัน ลดการใช้ยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ และป้องกันการเกิดอาการกำเริบและการกลับเป็นซ้ำได้มากกว่าการไม่ใช้มอยส์เจอไรเซอร์ และการใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ร่วมกับ fluticasone propionate 2 ครั้งต่อสัปดาห์มีประสิทธิภาพมากกว่าการใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์เพียงอย่างเดียวในการรักษาและป้องกันการเกิดอาการกำเริบ
ความชอบของผู้ป่วยและตำแหน่งของรอยโรคนั้นมีผลต่อการเลือกส่วนประกอบอื่น ๆ ในผลิตภัณฑ์มอยส์เจอร์ไรเซอร์ (เช่น ceramides, hydroxypalmitoyl sphinganine, palmitoylethanolamide [PEA], liquid paraffin, mineral oils, glycerin, hyaluronic acid, shea [Butyrospermum parkii] butter, telmesteine, glycyrrhetinic acid, Lactic acid) ทั้งนี้ มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่มี urea ช่วยลดอัตราการเกิดอาการกำเริบได้ แต่อาจทำให้แสบหรือระคายเคืองผิวได้ชั่วคราวหลังการใช้ ในขณะที่มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่มี oatmeal และ glycerol ช่วยลดอัตราการเกิดอาการกำเริบได้เช่นเดียวกัน แต่จะมีผลข้างเคียงน้อยกว่าและยังช่วยลดการใช้ยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ได้ด้วย สำหรับสาร เช่น glycyrrhetinic acid และ allantoin มีคุณสมบัติต้านการอักเสบจึงช่วยลดอาการคัน คุณสมบัติต้านการอักเสบและต้านแบคทีเรียของ licochalcone ที่มีอยู่ในมอยส์เจอร์ไรเซอร์บางชนิดมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับการใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ร่วมกับการใช้ครีม hydrocortisone acetate 1% ส่วน niacinamide และน้ำมันเมล็ดทานตะวันช่วยลดการสูญเสียน้ำผ่านผิวหนังจึงมีส่วนช่วยให้การทำงานผิวหนังชั้นนอกดีขึ้น
สารให้ความชุ่มชื้นควรใช้อย่างน้อย 3 ครั้งต่อวัน (ในตอนเช้าและเย็นทันทีหลังอาบน้ำ และตอนกลางคืนก่อนนอน) หรือใช้ทุก ๆ 3–4 ชั่วโมงหากอยู่ในช่วงที่มีอาการกำเริบ
ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีสารกันเสียหรือน้ำหอม และหากผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทำให้เกิดการแสบและระคายเคืองผิว ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ รายงานการศึกษาชี้ให้เห็นว่าการใช้สารให้ความชุ่มชื้นในทารกอาจป้องกันการเกิดโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงได้
1โปรดดูที่ MIMS ฉบับล่าสุด สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
การป้องกันแสงแดด
แนะนำให้ใช้ครีมกันแดดที่มีฤทธิ์ปกป้องกว้างและมี SPF30+ รวมถึงมีสารอนินทรีย์กรองรังสี UV เช่น titanium dioxide, zinc oxide เป็นประจำ อย่างไรก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดกับผิวมีการอักเสบ
การรักษาอื่น ๆ (Other Therapy)
การรักษาด้วยการพันผ้าแบบเปียก (wet wrap therapy) อาจใช้ wet wrap therapy สำหรับรอยโรคเรื้อรังและไม่ตอบสนองต่อยาอื่น หรือสำหรับรอยโรคระดับปานกลางถึงรุนแรงที่มีน้ำเหลืองไหล เนื่องจากช่วยระบายความร้อนให้ผิวที่อักเสบ รักษาความชุ่มชื้น และลดการเกา นอกจากนี้การทำ wet wrap therapy ยังช่วยลดการสูญเสียน้ำและความรุนแรงของโรคในผู้ป่วยโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ปานกลางถึงรุนแรง ส่วนกรณีที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น ๆ สามารถพิจารณาทำ wet wrap therapy ร่วมกับยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ได้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา
การบำบัดด้วยแสง
การบำบัดด้วยแสงอาจพิจารณาใช้สำหรับผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อยาอื่นได้
Atopic Dermatitis_Management 3
การบำบัดด้วยแสง UVB และ UVA ชนิดช่วงความยาวคลื่นกว้าง (broadband), UVB และ UVA-1 ชนิดช่วงความยาวคลื่นแคบ (narrowband), หรือการผสมระหว่าง UVA และ UVB มีประโยชน์ในการรักษาโรคในระดับปานกลางถึงรุนแรงที่ผิวหนังมีการหนาตัว ลดการสะสมของเชื้อ Staphylococcus aureus และ Malassezia spp. อย่างมีประสิทธิภาพ และควบคุมการผลิตไซโตไคน์ สำหรับผู้ป่วยโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ระดับปานกลางถึงรุนแรง แนะนำให้ใช้ UVB ชนิดช่วงความยาวคลื่นแคบและ UVA-1 ขนาดกลาง และอาจพิจารณาใช้ในช่วงเวลาสั้น ๆ สำหรับเด็กและวัยรุ่นที่ได้รับการประเมินประเภทผิวหนังแล้ว สำหรับวิธีการบำบัดด้วยแสงอื่น ๆ (เช่น UVB และ UVA แบบช่วงความยาวคลื่นกว้าง, balneophototherapy) อาจพิจารณาใช้เป็นทางเลือกในการรักษาได้
การใช้สาร psoralens ร่วมกับการฉาย UVA (PUVA) เหมาะกับผู้ป่วยที่มีโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ที่อาการแพร่กระจายรุนแรงเท่านั้น และอาจพิจารณาใช้ PUVA หากไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยแสงอื่น ๆ มีข้อห้ามสำหรับการใช้ยา ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาอื่น ๆ หรือไม่สามารถทนต่อผลข้างเคียงจากยาได้ การบำบัดด้วยแสงสามารถใช้ร่วมกับยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์และสารให้ความชุ่มชื้นในช่วงที่มีอาการกำเริบเฉียบพลัน และช่วยป้องกันการเกิดอาการกำเริบ อย่างไรก็ตาม การกลับเป็นซ้ำอาจเกิดขึ้นภายหลังจากการหยุดการรักษาได้
ผลข้างเคียงระยะสั้นของการบำบัดด้วยแสง ได้แก่ อาการคัน แดง เจ็บผิวหนัง หรือสีผิวเปลี่ยนไป ผลข้างเคียงระยะยาว ได้แก่ ผิวหนังเสื่อมสภาพเร็วกว่าที่ควร และความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งผิวหนังที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงไม่แนะนำให้ใช้ในผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นมะเร็งผิวหนังหรือมีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนัง นอกจากนี้ยังไม่แนะนำในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยากดภูมิคุ้มกัน (เช่น azathioprine, ciclosporin) เนื่องจากเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง
Immunoadsorption
Immunoadsorption เป็นหนึ่งในทางเลือกการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีโรครุนแรงและไม่ตอบสนองต่อยาอื่น ๆ ร่วมกับมีระดับ IgE ในเลือดสูง การรักษานี้อาศัยจะใช้แท่งคอลัมน์เพื่อการดูดซับ IgE เพื่อกรองออกจากกระแสเลือด โดยผลจากการศึกษาพบว่าวิธีการรักษานี้ช่วยลดคะแนน SCORAD และบรรเทาความรุนแรงของโรคได้อย่างมีนัยสำคัญ
การป้องกัน (Prevention)
การค้นหาและกำจัดปัจจัยกระตุ้นเป็นหลักสำคัญในการป้องกันการเกิดอาการกำเริบและการรักษาโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ในระยะยาว
การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่หรือการให้นมสูตรไฮโปอัลเลอร์เจนิกที่ผ่านการไฮโดรไลซ์แล้วมีประโยชน์สำหรับผู้ป่วยโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ได้รับการวินิจฉัยว่าแพ้อาหารร่วมด้วย พร้อมกันนี้ ควรแนะนำให้แม่หลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นสารก่อภูมิแพ้ที่ทราบทั้งหมด
ควรส่งเสริมการฉีดวัคซีนป้องกัน varicella zoster เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียทั้งที่ผิวหนังและภายในร่างกาย การใช้ probiotics อาจช่วยลดอัตราการเกิดหรือความรุนแรงของโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ได้ อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันประสิทธิภาพของ probiotics
การให้ความรู้แก่ผู้ป่วยหรือผู้ดูแล
อธิบายลักษณะที่เรื้อรังของโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ ปัจจัยที่ทำให้โรคกำเริบ และทางเลือกในการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยหรือผู้ดูแล เน้นว่าโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้มักลดลงเมื่ออายุมากขึ้น อธิบายว่าเป้าหมายของการรักษาคือการควบคุมโรค ไม่ใช่การ "รักษา" และปัจจัยหลายอย่างอาจมีส่วนทำให้โรคกำเริบ ซึ่งมักไม่สามารถหาสาเหตุเฉพาะได้ ควรให้ความรู้แก่ผู้ป่วยหรือผู้ดูแลเกี่ยวกับการดูแลผิวที่ถูกต้อง (เช่น การอาบน้ำ การให้ความชุ่มชื้น และการใช้มอยส์เจอไรเซอร์) โดยทามอยส์เจอไรเซอร์หลังอาบน้ำภายใน 3 นาที วันละ 2–3 ครั้ง หรือบ่อยกว่านั้นเมื่อผิวแห้ง การศึกษาพบว่าการให้คำแนะนำที่ถูกต้องและเพียงพอเกี่ยวกับการใช้และการทามอยส์เจอไรเซอร์จะลดความรุนแรงของโรคและความจำเป็นในการการใช้ยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ได้ นอกจากนี้อาจสร้างความตระหนักรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโรค การจัดการความคาดหวัง และวินัยในการใช้ยา
ควรพูดคุยกับผู้ป่วยเกี่ยวกับการฝึกลดความเครียด เช่น การสร้างความผ่อนคลาย และการบำบัดความคิดและพฤติกรรม (cognitive behavioral therapy, CBT) และการบำบัดพฤติกรรมเพื่อหยุดการเกาแบบเคยชิน ควรอธิบายความสำคัญของการปฏิบัติตามคำแนะนำการรักษา การใช้ยาที่เหมาะสม ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยาเป็นเวลานาน และการทายาหลังจากทามอยส์เจอไรเซอร์ 10–15 นาที
แนะนำผู้ป่วยให้ตัดเล็บให้สั้นและสวมถุงมือผ้าฝ้ายในเวลากลางคืนเพื่อลดการเกา
การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต Lifestyle Modification
การหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น
การค้นหาและกำจัดปัจจัยกระตุ้น
การค้นหาปัจจัยกระตุ้นอาการภูมิแพ้โดยการซักประวัติอย่างละเอียดเป็นสิ่งสำคัญ และการทดสอบภูมิแพ้ที่จำเพาะอาจใช้เพื่อยืนยันสาเหตุได้ดี อย่างไรก็ตาม การทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง (skin prick test) และการตรวจเลือดเพื่อหา IgE ที่จำเพาะกับสารก่อภูมิแพ้จะมีประโยชน์ในกรณีที่มีสารก่อภูมิแพ้ที่สงสัยแล้ว ผลตรวจที่เป็นลบมีประโยชน์ในการตัดสารก่อภูมิแพ้ที่สงสัยออก การทดสอบภูมิแพ้ในหลอดทดลองหรือการทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนังที่เป็นบวก (โดยเฉพาะอาหาร) อาจไม่สัมพันธ์กับอาการทางคลินิกเสมอไป ดังนั้นจึงอาจจำเป็นต้องมีการทดสอบเพิ่มเติม เช่น การทดสอบอาหารที่มีกลุ่มควบคุม (controlled food challenges), การทดสอบแผ่นปะภูมิแพ้ (skin patch test), หรือการเลี่ยงอาหาร (elimination diets) การทดสอบภูมิแพ้อาหารแบบมีกลุ่มควบคุมอาจพิจารณาในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีที่มีอาการปานกลางถึงรุนแรงหรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาและ/หรือมีประวัติการแพ้อาหารหลังจากการสัมผัสอาหารนั้น เด็กส่วนใหญ่จะหายจากการแพ้อาหารภายในไม่กี่ปีแรกของชีวิต การทดสอบแผ่นปะอาจทำได้หากสงสัยว่ามีโรคผิวหนังอักเสบจากการสัมผัส เช่น โรคผิวหนังที่ฝ่ามือหรือใบหน้า แนะนำผู้ป่วยให้หลีกเลี่ยงอาหารที่ระบุว่าเป็นสารก่อภูมิแพ้ในการทดสอบอาหารที่มีกลุ่มควบคุม การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ (เช่น ไรฝุ่นในบ้าน) อาจช่วยให้อาการดีขึ้น
แนะนำผู้ป่วยให้ใช้เครื่องนอนกันไรฝุ่น ซักเครื่องนอนทุกสัปดาห์ในน้ำร้อน (>58°C) นำพรมและม่านออกจากห้องนอน และลดความชื้นในบ้านให้ต่ำกว่า 60% มีข้อมูลแสดงให้เห็นว่าการบำบัดภูมิแพ้เฉพาะสารก่อภูมิแพ้ (specific allergen immunotherapy) อาจเป็นทางเลือกในการรักษาผู้ป่วยที่มีความไวต่อสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ
โดยส่วนใหญ่ ปัจจัยกระตุ้นการแพ้มักไม่สามารถระบุได้อย่างเฉพาะเจาะจง ดังนั้นแนะนำผู้ป่วยให้ใช้วิธีการหลีกเลี่ยงแบบองค์รวม (holistic approach to allergen avoidance) เนื่องจากปัจจัยกระตุ้นมักจะมีหลายอย่าง ปัจจัยกระตุ้นทั่วไปสำหรับโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ ได้แก่ เสื้อผ้าขนสัตว์ ละอองเกสร อุณหภูมิที่ร้อนหรือหนาวเกินไป เหงื่อ ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำหอมหรือสารกันเสีย อาหาร ควันบุหรี่ และขนสัตว์ ปัจจัยทางอารมณ์ (เช่น ความวิตกกังวล ความเครียด และความโกรธ) อาจกระตุ้นโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้หรือทำให้โรคกำเริบได้ ดังนั้นการประเมินทางจิตวิทยาและการให้คำปรึกษาในผู้ป่วยที่มีปัญหากับปัจจัยกระตุ้นทางอารมณ์หรือปัญหาทางจิตวิทยาอาจช่วยบรรเทาอาการของโรคได้
การดูแลผิว1 (Skin Care)
เน้นความสำคัญของการดูแลผิวแบบองค์รวม ได้แก่ การทำความสะอาด การให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง การรักษาด้วยยา และการป้องกันแสงแดด การบรรเทาอาการและลดผลข้างเคียงของการรักษาจากยาทาภายนอก เช่น ยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ อาจช่วยให้การใช้ยามีความต่อเนื่องมากขึ้น
การดูแลผิวอย่างเหมาะสมช่วยลดการเกิดอาการกำเริบและเพิ่มระยะเวลาระหว่างการเกิดอาการ การให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวด้วยมอยส์เจอไรเซอร์และการฟื้นฟูสุขภาพผิวเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ การทำความสะอาดผิวอย่างเหมาะสมด้วยผลิตภัณฑ์ เช่น สบู่ สบู่สังเคราะห์ปราศจากด่าง (syndet) รวมถึงการใช้น้ำยาฆ่าเชื้อและยาปฏิชีวนะเฉพาะที่อาจช่วยฟื้นฟูไมโครไบโอมของผิวหนังให้เป็นปกติ
การอาบน้ำ
การอาบน้ำเป็นวิธีกำจัดคราบสกปรก แบคทีเรีย สารก่อภูมิแพ้ และสารระคายเคืองที่ดี โดยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่เหมาะสมมักมีคุณสมบัติ เช่น ใช้สารทดแทนสบู่ที่มีการทำลายไขมันน้อยที่สุด มีส่วนผสมของมอยส์เจอร์ไรเซอร์ ปราศจากน้ำหอม ไม่มีสารก่อภูมิแพ้ และมีค่า pH เป็นกลางถึงต่ำ
อุณหภูมิน้ำอุ่นที่เหมาะสมสำหรับการอาบน้ำ คือ ประมาณ 38–40°C เนื่องจากอุณหภูมิที่มากกว่าหรือเท่ากับ 42°C มักกระตุ้นให้เกิดอาการคัน แนะนำผู้ป่วยให้ใช้สบู่ล้างบริเวณมือ เท้า อวัยวะเพศ และรักแร้เป็นหลัก และจำกัดการอาบน้ำวันละครั้งเป็นเวลา 5–10 นาทีโดยใช้น้ำอุ่นหรืออุณหภูมิห้อง ซับตัวให้แห้งหลังอาบน้ำและใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์หรือน้ำมันอาบน้ำภายใน 2–3 นาทีหลังอาบน้ำ
อาจพิจารณาใช้การแช่ผิวหนังในน้ำยาเพื่อฆ่าเชื้อโรค การแช่ผิวหนังด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ (bleach baths) เสริมกับการรักษาด้วยยาทาภายนอกในผู้ป่วยโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ปานกลางถึงรุนแรงหรือเป็นเรื้อรังและไม่ตอบสนองต่อยาอื่น ๆ มีการศึกษาพบว่าการทำ bleach bath เป็นประจำ (ใช้สารละลาย hypochlorite ความเข้มข้น 6% มาเจือจางด้วยน้ำในอัตราส่วน 1:1,200 และแช่ 10 นาที สัปดาห์ละ 3 ครั้ง) ช่วยลดการติดเชื้อแบคทีเรีย (เช่น Staphylococcus aureus) ความรุนแรงของโรค และการเกิดอาการกำเริบได้ การทำ bleach bath ร่วมกับการใช้ยาขี้ผึ้ง mupirocin ป้ายในจมูกทั้งสองข้างมีประโยชน์สำหรับผู้ป่วยที่มีโรคปานกลางถึงรุนแรงที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน
การอาบน้ำเกลืออาจใช้เพื่อช่วยกำจัดเศษผิวหนังหรือเคราตินที่หมดสภาพแล้ว ผลิตภัณฑ์ oatmeal ที่ผสมลงในอ่างอาบน้ำอาจช่วยให้บรรเทาอาการแต่ไม่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นของผิว การแช่น้ำแร่อาจพิจารณาในผู้ป่วยที่มีโรคปานกลางถึงรุนแรง สำหรับยาทาเฉพาะที่ ควรทาหลังอาบน้ำจะดีที่สุดเนื่องจากการซึมผ่านของผิวที่ชุ่มชื้นมากขึ้น
1โปรดดูที่ MIMS ฉบับล่าสุด สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
มอยส์เจอร์ไรเซอร์
มอยส์เจอร์ไรเซอร์เป็นการดูแลหลักที่สำคัญในการรักษาโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้เนื่องจากช่วยฟื้นฟูทำงานของชั้นผิว ลดการเกิดอาการกำเริบ เพิ่มระยะเวลาระหว่างการเกิดอาการกำเริบ และช่วยลดการใช้ยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์

ควรใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์สำหรับโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ในทุกระดับความรุนแรง และรวมถึงในช่วงที่มีอาการกำเริบเฉียบพลัน มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่เลือกใช้ ควรมีคุณสมบัติต้านการอักเสบและมีสารต้านอนุมูลอิสระ มีสารให้ความชุ่มชื้นชนิดน้ำในน้ำมัน (water in oil emollient) หรือมีสารที่ช่วยกักเก็บและดูดความชื้นให้แก่ผิวหนัง สารดังกล่าวมีประโยชน์ในการรักษาโรคที่กำลังมีอาการและช่วยในการป้องกันการกำเริบ และช่วยฟื้นฟูและปกป้องชั้นหนังกำพร้า สารให้ความชุ่มชื้น (เช่น glycerol stearate, lanolin, soy sterols) ช่วยให้ผิวหนังมีความนุ่ม ลื่น และช่วยปกป้องชั้นผิวหนัง สารให้ความชุ่มชื้นที่ถูกพัฒนาขึ้นใหม่อาจมีส่วนประกอบที่มีผลดีต่อไมโครไบโอมของผิวหนังในผู้ป่วยโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ สารเคลือบผิว (occlusive agents) เช่น dimeticone, mineral oil, petrolatum ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันการระเหยของน้ำที่ผิว สารดูดความชื้น (humectants) เช่น urea, glycerol, lactic acid, pyrrolidone carboxylic acid (PCA) ช่วยรักษาความชุ่มชื้นในชั้นหนังกำพร้าซึ่งส่งเสริมประสิทธิภาพของชั้นหนังกำพร้า
การศึกษาทางคลินิกพบว่าการใช้มอยส์เจอไรเซอร์อย่างเหมาะสมช่วยลดความรุนแรงของของโรค อาการคัน ลดการใช้ยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ และป้องกันการเกิดอาการกำเริบและการกลับเป็นซ้ำได้มากกว่าการไม่ใช้มอยส์เจอไรเซอร์ และการใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ร่วมกับ fluticasone propionate 2 ครั้งต่อสัปดาห์มีประสิทธิภาพมากกว่าการใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์เพียงอย่างเดียวในการรักษาและป้องกันการเกิดอาการกำเริบ
ความชอบของผู้ป่วยและตำแหน่งของรอยโรคนั้นมีผลต่อการเลือกส่วนประกอบอื่น ๆ ในผลิตภัณฑ์มอยส์เจอร์ไรเซอร์ (เช่น ceramides, hydroxypalmitoyl sphinganine, palmitoylethanolamide [PEA], liquid paraffin, mineral oils, glycerin, hyaluronic acid, shea [Butyrospermum parkii] butter, telmesteine, glycyrrhetinic acid, Lactic acid) ทั้งนี้ มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่มี urea ช่วยลดอัตราการเกิดอาการกำเริบได้ แต่อาจทำให้แสบหรือระคายเคืองผิวได้ชั่วคราวหลังการใช้ ในขณะที่มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่มี oatmeal และ glycerol ช่วยลดอัตราการเกิดอาการกำเริบได้เช่นเดียวกัน แต่จะมีผลข้างเคียงน้อยกว่าและยังช่วยลดการใช้ยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ได้ด้วย สำหรับสาร เช่น glycyrrhetinic acid และ allantoin มีคุณสมบัติต้านการอักเสบจึงช่วยลดอาการคัน คุณสมบัติต้านการอักเสบและต้านแบคทีเรียของ licochalcone ที่มีอยู่ในมอยส์เจอร์ไรเซอร์บางชนิดมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับการใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ร่วมกับการใช้ครีม hydrocortisone acetate 1% ส่วน niacinamide และน้ำมันเมล็ดทานตะวันช่วยลดการสูญเสียน้ำผ่านผิวหนังจึงมีส่วนช่วยให้การทำงานผิวหนังชั้นนอกดีขึ้น
สารให้ความชุ่มชื้นควรใช้อย่างน้อย 3 ครั้งต่อวัน (ในตอนเช้าและเย็นทันทีหลังอาบน้ำ และตอนกลางคืนก่อนนอน) หรือใช้ทุก ๆ 3–4 ชั่วโมงหากอยู่ในช่วงที่มีอาการกำเริบ
ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีสารกันเสียหรือน้ำหอม และหากผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทำให้เกิดการแสบและระคายเคืองผิว ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ รายงานการศึกษาชี้ให้เห็นว่าการใช้สารให้ความชุ่มชื้นในทารกอาจป้องกันการเกิดโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงได้
1โปรดดูที่ MIMS ฉบับล่าสุด สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
การป้องกันแสงแดด
แนะนำให้ใช้ครีมกันแดดที่มีฤทธิ์ปกป้องกว้างและมี SPF30+ รวมถึงมีสารอนินทรีย์กรองรังสี UV เช่น titanium dioxide, zinc oxide เป็นประจำ อย่างไรก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดกับผิวมีการอักเสบ
การรักษาอื่น ๆ (Other Therapy)
การรักษาด้วยการพันผ้าแบบเปียก (wet wrap therapy) อาจใช้ wet wrap therapy สำหรับรอยโรคเรื้อรังและไม่ตอบสนองต่อยาอื่น หรือสำหรับรอยโรคระดับปานกลางถึงรุนแรงที่มีน้ำเหลืองไหล เนื่องจากช่วยระบายความร้อนให้ผิวที่อักเสบ รักษาความชุ่มชื้น และลดการเกา นอกจากนี้การทำ wet wrap therapy ยังช่วยลดการสูญเสียน้ำและความรุนแรงของโรคในผู้ป่วยโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ปานกลางถึงรุนแรง ส่วนกรณีที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น ๆ สามารถพิจารณาทำ wet wrap therapy ร่วมกับยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ได้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา
การบำบัดด้วยแสง
การบำบัดด้วยแสงอาจพิจารณาใช้สำหรับผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อยาอื่นได้

การบำบัดด้วยแสง UVB และ UVA ชนิดช่วงความยาวคลื่นกว้าง (broadband), UVB และ UVA-1 ชนิดช่วงความยาวคลื่นแคบ (narrowband), หรือการผสมระหว่าง UVA และ UVB มีประโยชน์ในการรักษาโรคในระดับปานกลางถึงรุนแรงที่ผิวหนังมีการหนาตัว ลดการสะสมของเชื้อ Staphylococcus aureus และ Malassezia spp. อย่างมีประสิทธิภาพ และควบคุมการผลิตไซโตไคน์ สำหรับผู้ป่วยโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ระดับปานกลางถึงรุนแรง แนะนำให้ใช้ UVB ชนิดช่วงความยาวคลื่นแคบและ UVA-1 ขนาดกลาง และอาจพิจารณาใช้ในช่วงเวลาสั้น ๆ สำหรับเด็กและวัยรุ่นที่ได้รับการประเมินประเภทผิวหนังแล้ว สำหรับวิธีการบำบัดด้วยแสงอื่น ๆ (เช่น UVB และ UVA แบบช่วงความยาวคลื่นกว้าง, balneophototherapy) อาจพิจารณาใช้เป็นทางเลือกในการรักษาได้
การใช้สาร psoralens ร่วมกับการฉาย UVA (PUVA) เหมาะกับผู้ป่วยที่มีโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ที่อาการแพร่กระจายรุนแรงเท่านั้น และอาจพิจารณาใช้ PUVA หากไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยแสงอื่น ๆ มีข้อห้ามสำหรับการใช้ยา ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาอื่น ๆ หรือไม่สามารถทนต่อผลข้างเคียงจากยาได้ การบำบัดด้วยแสงสามารถใช้ร่วมกับยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์และสารให้ความชุ่มชื้นในช่วงที่มีอาการกำเริบเฉียบพลัน และช่วยป้องกันการเกิดอาการกำเริบ อย่างไรก็ตาม การกลับเป็นซ้ำอาจเกิดขึ้นภายหลังจากการหยุดการรักษาได้
ผลข้างเคียงระยะสั้นของการบำบัดด้วยแสง ได้แก่ อาการคัน แดง เจ็บผิวหนัง หรือสีผิวเปลี่ยนไป ผลข้างเคียงระยะยาว ได้แก่ ผิวหนังเสื่อมสภาพเร็วกว่าที่ควร และความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งผิวหนังที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงไม่แนะนำให้ใช้ในผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นมะเร็งผิวหนังหรือมีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนัง นอกจากนี้ยังไม่แนะนำในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยากดภูมิคุ้มกัน (เช่น azathioprine, ciclosporin) เนื่องจากเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง
Immunoadsorption
Immunoadsorption เป็นหนึ่งในทางเลือกการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีโรครุนแรงและไม่ตอบสนองต่อยาอื่น ๆ ร่วมกับมีระดับ IgE ในเลือดสูง การรักษานี้อาศัยจะใช้แท่งคอลัมน์เพื่อการดูดซับ IgE เพื่อกรองออกจากกระแสเลือด โดยผลจากการศึกษาพบว่าวิธีการรักษานี้ช่วยลดคะแนน SCORAD และบรรเทาความรุนแรงของโรคได้อย่างมีนัยสำคัญ
การป้องกัน (Prevention)
การค้นหาและกำจัดปัจจัยกระตุ้นเป็นหลักสำคัญในการป้องกันการเกิดอาการกำเริบและการรักษาโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ในระยะยาว
การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่หรือการให้นมสูตรไฮโปอัลเลอร์เจนิกที่ผ่านการไฮโดรไลซ์แล้วมีประโยชน์สำหรับผู้ป่วยโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ได้รับการวินิจฉัยว่าแพ้อาหารร่วมด้วย พร้อมกันนี้ ควรแนะนำให้แม่หลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นสารก่อภูมิแพ้ที่ทราบทั้งหมด
ควรส่งเสริมการฉีดวัคซีนป้องกัน varicella zoster เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียทั้งที่ผิวหนังและภายในร่างกาย การใช้ probiotics อาจช่วยลดอัตราการเกิดหรือความรุนแรงของโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ได้ อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันประสิทธิภาพของ probiotics