Content on this page:
Content on this page:
บทนำ
ระบาดวิทยา
โรคติดเชื้อไวรัสเดงกียังคงเป็นโรคประจำถิ่นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และภูมิภาคแปซิฟิกตะวันตก ตามรายงานของ WHO พบว่าจำนวนผู้ป่วยที่รายงานในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มขึ้นร้อยละ 46 ขณะที่อัตราการเสียชีวิตลดลงร้อยละ 2 ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2558–2562
ประเทศอินเดีย อินโดนีเซีย พม่า ศรีลังกา และประเทศไทย จัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีการระบาดของโรคไข้เลือดออกเดงกีในระดับสูงที่สุดในโลก โดยในประเทศอินเดีย โรคไข้เลือดออกเป็นโรคประจำถิ่นในเกือบทุกภูมิภาค และมีการระบาดขนาดใหญ่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ปี พ.ศ. 2558 มีรายงานผู้ป่วยในกรุงนิวเดลีเพียงแห่งเดียวจำนวน 15,867 ราย ซึ่งนับเป็นหนึ่งในการระบาดที่รุนแรงที่สุดของประเทศ โดยมีจำนวนผู้ป่วยรวมทั้งประเทศสูงถึง 99,913 ราย ในช่วงปี พ.ศ. 2559–2564 มีรายงานจำนวนผู้ป่วยอยู่ในช่วงระหว่าง 39,419–188,401 ราย จากฐานข้อมูลทะเบียนเฝ้าระวังโรคระดับชาติของอินโดนีเซีย พบว่าในปี พ.ศ. 2559 อัตราการเกิดโรคไข้เลือดออกอยู่ที่ 80 รายต่อประชากรหนึ่งแสนคน-ปี และในปี พ.ศ. 2560 มีรายงานผู้ป่วยจำนวน 59,047 ราย รวมผู้เสียชีวิต 444 ราย คิดเป็นอัตราการเกิดโรค 22.6 รายต่อประชากรหนึ่งแสนคน-ปี
สำหรับประเทศเมียนมา ปีที่มีจำนวนผู้ป่วยสูงสุดคือ พ.ศ. 2558 โดยมีรายงานผู้ป่วยรวม 42,913 ราย และมีผู้เสียชีวิต 140 ราย ส่วนในประเทศไทยพบว่ามีจำนวนผู้ป่วยไข้เลือดออกเดงกีในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2543–2554 อยู่ระหว่าง 20,000 ถึง 140,000 ราย
อุบัติการณ์โรคไข้เลือดออกในประเทศมาเลเซียมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยในปี พ.ศ. 2550 มีรายงานผู้ป่วย 181 รายต่อประชากรหนึ่งแสนคน และเพิ่มขึ้นเป็น 361 รายต่อประชากรหนึ่งแสนคนในปี พ.ศ. 2557 ล่าสุดในปี พ.ศ. 2566 มีรายงานผู้ป่วยรวมทั้งสิ้น 43,619 ราย ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. 2565 จำนวน 27,475 รายในช่วงเวลาเดียวกัน ในประเทศฟิลิปปินส์ มีรายงานผู้ป่วยจำนวน 121,580 รายในปี พ.ศ. 2557 ข้อมูลล่าสุด ณ เดือนเมษายน พ.ศ. 2566 มีรายงานผู้ป่วยรวมทั้งสิ้น 39,947 ราย ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาในช่วงเวลาเดียวกันคิดเป็นร้อยละ 43 ส่วนประเทศสิงคโปร์ มีรายงานผู้ป่วย 35,315 รายในปี พ.ศ. 2563 และมีรายงานผู้ป่วยมากกว่า 12,000 รายในช่วงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2565 อย่างไรก็ตาม ข้อมูลล่าสุด ณ เดือนเมษายน พ.ศ. 2566 พบว่ามีรายงานผู้ป่วยเพียง 3,056 ราย ซึ่งลดลงจากปี พ.ศ. 2565 ในช่วงเวลาเดียวกันถึงร้อยละ 65 ในประเทศเวียดนาม มีรายงานผู้ป่วยรวมทั้งสิ้น 31,731 ราย ณ เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2566 ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.6 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี พ.ศ. 2565
โครงการควบคุมโรคไข้เลือดออกแห่งชาติของประเทศกัมพูชา (National Dengue Control Programme: NDCP) รายงานว่าในช่วง 5 เดือนแรกของปี พ.ศ. 2565 มีจำนวนผู้ป่วยที่ได้รับการยืนยันการติดเชื้อมากกว่า 1,200 ราย ซึ่งเพิ่มขึ้นประมาณ 300 รายเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี พ.ศ. 2564 ข้อมูลล่าสุดจากระบบเฝ้าระวังโรคไข้เลือดออกแห่งชาติของประเทศกัมพูชา (National Dengue Surveillance System) ในปี พ.ศ. 2566 รายงานผู้ป่วยรวมทั้งสิ้น 2,411 ราย.

พยาธิสรีรวิทยา
การติดต่อเชื้อไวรัสเดงกีในมนุษย์เกิดจากการถูกยุงลายเพศเมียที่ติดเชื้อไวรัสเดงกีกัด โดยเฉพาะยุง Aedes aegypti ซึ่งเป็นชนิดที่พบได้ทั่วไปในเขตร้อนและกึ่งร้อน การระบาดบางกรณีอาจเกิดจากยุงชนิดอื่น เช่น Aedes albopictus, Aedes polynesiensis และ Aedes scutellaris โดยมนุษย์เป็นโฮสต์หลักที่ทำให้ไวรัสแพร่กระจาย
ไวรัสเดงกีมีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ ได้แก่ DENV-1, DENV-2, DENV-3 และ DENV-4 ซึ่งแต่ละสายพันธุ์จะก่อให้เกิดภูมิคุ้มกันจำเพาะตลอดชีวิตต่อการติดเชื้อซ้ำด้วยสายพันธุ์เดิม แต่จะมีภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์อื่นในระยะสั้น (ประมาณ 2–3 เดือนหลังการติดเชื้อครั้งแรก) นอกจากนี้ ยังมีสายพันธุ์ที่ห้าซึ่งเป็นสายพันธุ์ใหม่ เรียกว่า DENV-5 โดยสายพันธุ์นี้มีวงจรการถ่ายทอดแบบ sylvatic cycle (เป็นสายพันธุ์ที่แพร่กระจายอยู่ใน non-human primates) ขณะที่ DENV-1 ถึง DENV-4 แพร่เชื้อระหว่างมนุษย์เป็นหลัก
ปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยเสี่ยงที่สัมพันธ์กับการเกิดไข้เลือดออกชนิดรุนแรงมีดังต่อไปนี้:
- ปวดท้อง
- มีแนวโน้มที่จะเกิดภาวะเลือดออกง่าย
- ตับโต
- ความเข้นข้นของเลือดเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 22 จากค่าเดิม
- อาการซึม
- ภาวะเกร็ดเลือดต่ำกว่า <100,000/μL
- ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ในเด็ก ได้แก่:
- ด้านประชากรศาสตร์: อายุเกิน 5 ปี เพศหญิง หรือภาวะอ้วน
- ด้านระบาดวิทยา: การติดเชื้อไวรัสเดงกีสายพันธุ์ DENV-2 หรือการติดเชื้อซ้ำ
- อาการทางคลินิก: ความดันโลหิตค่าบน (systolic) ต่ำกว่า 90 mmHg หรือความดันชีพจร (ผลต่างระหว่างความดันโลหิตค่าบนและค่าล่าง; pulse pressure) น้อยกว่า 20 mmHg
- ผลทางห้องปฏิบัติการ: ฮีโมโกลบินต่ำกว่า 9 กรัมต่อเดซิลิตร, เม็ดเลือดขาวมากกว่า 5,000 เซลล์ต่อไมโครลิตร, ค่า APTT และ PT ยาวนานผิดปกติ, ระดับ fibrinogen ในเลือดลดลง
- ภาพถ่ายรังสีหรือการตรวจทางรังสีวินิจฉัย: พบภาวะน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด (pleural effusion), มีน้ำในช่องท้อง (ascites) และ/หรือผนังถุงน้ำดีหนาตัว โดยหากผนังถุงน้ำดีหนามากกว่า 5 มิลลิเมตร ถือเป็นสัญญาณที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ
การจำแนกโรค
ตามแนวทางการจำแนกผู้ป่วยของ WHO ปี 2009 ผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกจะถูกจัดกลุ่มตามระดับความรุนแรงของโรคออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ ไข้เลือดออกเดงกีชนิดรุนแรง (severe dengue) และ ไข้เลือดออกเดงกีชนิดไม่รุนแรง (non-severe dengue) ซึ่งกลุ่มหลังสามารถแบ่งย่อยออกได้อีกเป็นกรณีที่มีอาการเตือน และไม่มีอาการเตือน (with or without warning signs)
ไข้เลือดออกเดงกีชนิดไม่รุนแรงโดยไม่มีอาการเตือน (Dengue without Warning Signs)
ผู้ป่วยจะมีไข้สูง (ประมาณ 40°C หรือ 104°F) ร่วมกับอาการอย่างน้อย 2 ในข้อดังต่อไปนี้:
- คลื่นไส้หรืออาเจียน
- มีผื่นขึ้น
- ปวดศีรษะ ปวดเบ้าตา ปวดกล้ามเนื้อ หรือปวดข้อ
- ผลการทดสอบทูร์นิเกต์เป็นบวก (positive tourniquet test)
ไข้เลือดออกเดงกีชนิดไม่รุนแรงแต่มีอาการเตือน (Dengue with Warning Signs)
ผู้ป่วยจะมีอาการของโรคไข้เลือดออกร่วมกับอาการเตือน ซึ่งบ่งชี้ถึงความเสี่ยงที่จะเกิดการติดเชื้อรุนแรง โดยมีอย่างน้อยหนึ่งในอาการต่อไปนี้เพิ่มเติม:
- ปวดท้องรุนแรงหรือกดเจ็บบริเวณท้อง
- อาเจียนอย่างต่อเนื่อง (Persistent vomiting)
- มีภาวะน้ำคั่งในช่องต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น น้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด (pleural effusion) หรือในช่องท้อง (ascites)
- มีเลือดออกจากเยื่อบุ เช่น เลือดออกทางเหงือกหรือจมูก
- ซึมหรือกระสับกระส่ายผิดปกติ
- ตับโตมากกว่า 2 เซนติเมตร
- ระดับความเข้มข้นของเลือด (hematocrit) เพิ่มขึ้นร่วมกับจำนวนเกล็ดเลือดลดลงอย่างรวดเร็ว
ไข้เลือดออกเดงกีชนิดรุนแรง (Severe Dengue)
ผู้ป่วยจะมีอาการของการติดเชื้อไวรัสเดงกีร่วมกับ อาการอย่างน้อยหนึ่งข้อต่อไปนี้ ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะรุนแรง:
- ภาวะพลาสมารั่วอย่างรุนแรง ส่งผลให้เกิดภาวะช็อก หรือมีภาวะน้ำคั่งที่ทำให้หายใจลำบาก เช่น น้ำในช่องปอดหรือช่องท้อง
- ภาวะเลือดออกอย่างรุนแรง
- การมีอวัยวะบกพร่องอย่างรุนแรง เช่น ค่าการทำงานของตับผิดปกติอย่างมาก (AST หรือ ALT ≥1,000 หน่วยต่อลิตร) ระดับความรู้สึกตัวลดลง ภาวะการทำงานของอวัยวะล้มเหลว
การจำแนกโรคไข้เลือดออกตามเกณฑ์เดิม (Old Classification of Dengue Infection)
การจำแนกโรคไข้เลือดออกตามแนวทางเดิมอ้างอิงจาก WHO เมื่อปี 1997
กลุ่มอาการไวรัส (Undifferentiated Fever)
เป็นอาการแสดงที่พบบ่อยที่สุดของการติดเชื้อไวรัสเดงกี โดยผู้ป่วยอาจมีไข้สูงโดยไม่มีอาการเฉพาะเจาะจงที่สามารถจำแนกได้แน่ชัดในระยะแรก
ไข้เดงกี (Dengue Fever; DF)
ไข้เดงกีเป็นไข้เฉียบพลันที่มีอาการอย่างน้อย 2 ข้อจากต่อไปนี้:
- ปวดศีรษะ หรือปวดเบ้าตา
- ปวดกล้ามเนื้อ หรือปวดข้อ
- มีผื่นขึ้น
- คลื่นไส้ หรืออาเจียน
- มีอาการเลือดออก (เช่น เลือดออกตามผิวหนัง เหงือก หรือจมูก)
- ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ (leukopenia), เกล็ดเลือดต่ำ (thrombocytopenia) หรือฮีมาโตคริต (hematocrit) สูงขึ้นประมาณร้อยละ 5–10
ในเด็กโตและผู้ใหญ่มักแสดงอาการเป็นกลุ่มอาการไข้แบบไม่จำเพาะ หรือมีไข้สูงเฉียบพลัน ไข้ดังกล่าวอาจมีลักษณะเป็นไข้สองระยะ (biphasic fever) ซึ่งหมายถึงมีไข้สูงในระยะแรก จากนั้นไข้ลดลงเป็นปกติชั่วคราว ก่อนกลับมาเป็นไข้สูงอีกครั้ง โดยไข้มักมีระยะเวลาประมาณ 2–7 วัน ผู้ป่วยอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย ได้แก่ ปวดศีรษะอย่างรุนแรง ปวดกระบอกตา อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อหรือข้อ คลื่นไส้ อาเจียน และผื่น อาการเลือดออกที่พบ ได้แก่ เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน ปัสสาวะเป็นเลือด ประจำเดือนออกมากผิดปกติ เลือดออกใต้ผิวหนัง (petechiae, purpura, ecchymoses) และเลือดออกในทางเดินอาหาร เช่น อาเจียนเป็นเลือด อุจจาระดำ หรือมีเลือดปนในอุจจาระ ในทารกและเด็กเล็กมักแสดงอาการเป็นไข้ที่แยกแยะได้ยาก ร่วมกับผื่นแบบ maculopapular
อาการที่ไม่จำเพาะ (Atypical Presentation) ผู้ป่วยบางรายอาจแสดงอาการผิดปกติ เช่น ปวดท้องเฉียบพลัน ท้องเสีย เลือดออกในทางเดินอาหารอย่างรุนแรง ปวดศีรษะรุนแรง ชัก ความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง มีอาการคล้ายเยื่อหุ้มสมองอักเสบซึ่งอาจเกิดร่วมกับหรือไม่เกิดร่วมกับเลือดออกในสมอง ชีพจรหรืออัตราการเต้นของหัวใจไม่สม่ำเสมอ หายใจลำบาก ตับวายเฉียบพลัน ดีซ่านเนื่องจากท่อน้ำดีอุดตัน ค่าเอนไซม์ตับสูงขึ้น กลุ่มอาการไรย์ (Reye syndrome) ไตวายเฉียบพลัน ภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติแบบแพร่กระจาย (DIC) และการถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ทารกในครรภ์
การตรวจร่างกายผู้ป่วยที่สงสัยว่าเป็นไข้เลือดออกเดงกี ได้แก่ การวัดความดันโลหิต ประเมินภาวะขาดน้ำ ตรวจ capillary refill time และการทดสอบทูร์นิเกต์ (tourniquet test) การทดสอบทูร์นิเกต์ทำได้โดยรัดต้นแขนของผู้ป่วยเหมือนกับการวัดความดันโลหิต แล้วให้ cuff บีบแขนในช่วงความดันระหว่าง systolic และ diastolic ค้างไว้เป็นเวลา 5 นาที หากพบจุดเลือดออกใต้ผิวหนัง (petechiae) ตั้งแต่ 20 จุดขึ้นไปต่อพื้นที่ 1 ตารางนิ้ว ถือว่าให้ผลบวก
การตรวจทางภูมิคุ้มกันที่สนับสนุนการวินิจฉัย ประกอบด้วย การตรวจพบระดับแอนติบอดีด้วยวิธี Hemagglutination-Inhibition (HI) ที่มีไตเตอร์ ≥1:1280, ค่าไตเตอร์ IgG ที่ใกล้เคียงกันเมื่อตรวจด้วยวิธี enzyme-linked immunosorbent assay (ELISA), และผลตรวจแอนติบอดีชนิด IgM ให้ผลบวกในตัวอย่างเลือดที่เก็บในระยะปลายระยะเฉียบพลันหรือในระยะฟื้นตัวของโรค
การยืนยันการติดเชื้อไข้เลือดออกเดงกีต้องมีผลการตรวจอย่างน้อยหนึ่งรายการดังต่อไปนี้:
- การแยกเชื้อไวรัสเดงกีจากตัวอย่างเลือด น้ำไขสันหลัง หรือชิ้นเนื้อจากการชันสูตร
- การตรวจพบระดับภูมิคุ้มกัน IgG หรือ IgM ต่อไวรัสเดงกีเพิ่มขึ้น ≥4 เท่า
- การตรวจพบแอนติเจนของไวรัสเดงกีในชิ้นเนื้อ เลือด หรือน้ำไขสันหลัง โดยวิธี immunohistochemistry, immunofluorescence หรือ ELISA
- การตรวจพบสารพันธุกรรมของไวรัสเดงกีด้วยวิธี reverse transcriptase-polymerase chain reaction (RT-PCR)
ไข้เลือดออกเดงกี (Dengue Hemorrhagic Fever; DHF)
ความแตกต่างที่สำคัญคือการมีความผิดปกติของระบบการแข็งตัวของเลือด (abnormal hemostasis) และการรั่วของพลาสมาเข้าสู่ช่องท้องและช่องเยื่อหุ้มปอด (pleural and abdominal cavities) ระยะวิกฤติของโรคไข้เลือดออกเดงกีจะเกิดขึ้นในช่วงที่ไข้เริ่มลดลง (เรียกว่าระยะที่มีการรั่วของพลาสมา) โดยอาการล้มเหลวของระบบไหลเวียนโลหิตหรืออาการแสดงของการมีเลือดออก อาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ประมาณ 24 ชั่วโมงก่อน จนถึง 24 ชั่วโมงหลังจากที่อุณหภูมิร่างกายกลับสู่ปกติ
ผู้ป่วยที่เป็นโรคไข้เลือดออกเดงกีจะมีลักษณะอาการดังต่อไปนี้:
- มีไข้ หรือประวัติมีไข้เฉียบพลัน เป็นระยะเวลา 2–7 วัน บางรายอาจมีลักษณะไข้เป็นสองระยะ (biphasic fever)
- มีแนวโน้มจะมีเลือดออก โดยมีหลักฐานอย่างน้อยหนึ่งอย่างดังต่อไปนี้:
- การทดสอบทูร์นิเกต์ (tourniquet test) ให้ผลบวก
- มีจุดเลือดออกใต้ผิวหนัง (petechiae), จ้ำเลือด (ecchymoses) หรือรอยฟกช้ำขนาดใหญ่ (purpura)
- มีเลือดออกจากเยื่อบุช่องปาก ระบบทางเดินอาหาร บริเวณที่ฉีดยา หรือบริเวณอื่น
- อาเจียนเป็นเลือด (hematemesis) หรือถ่ายดำ (melena)
- มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ (thrombocytopenia) โดยมีจำนวนเกล็ดเลือด ≤100,000 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร
- มีหลักฐานของการรั่วของพลาสมาเนื่องจากความสามารถในการผ่านของหลอดเลือดเพิ่มขึ้น (increased vascular permeability) โดยมีอาการอย่างน้อยหนึ่งในข้อดังต่อไปนี้:
- ค่าฮีมาโตคริต (hematocrit) เพิ่มขึ้น ≥20% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของช่วงอายุ เพศ และประชากรที่เกี่ยวข้อง
- ค่าฮีมาโตคริตลดลง ≥20% หลังได้รับการให้สารน้ำทดแทน
- มีสัญญาณของการรั่วของพลาสมา เช่น มีน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด (pleural effusion), น้ำในช่องท้อง (ascites), หรือมีระดับโปรตีนในเลือดต่ำ (hypoproteinemia)
การตรวจทางห้องปฏิบัติการอาจพบหลักฐานภาวะลิ่มเลือดแพร่กระจายในหลอดเลือด (disseminated intravascular coagulation; DIC), ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ (thrombocytopenia) จากการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (complete blood count; CBC), ค่า prothrombin time (PT) และ partial thromboplastin time (PTT) ที่ยาวนานขึ้น รวมถึง fibrinogen ที่ลดลง และผลิตภัณฑ์จากการสลายตัวของไฟบริน (fibrin degradation products) ที่เพิ่มขึ้น ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่น ๆ ที่อาจพบได้ ได้แก่ จำนวนเม็ดเลือดขาวต่ำ (leukopenia) และภาวะเลือดเข้มข้น (hemoconcentration) โดยสังเกตจากระดับฮีมาโตคริตที่เพิ่มขึ้น (rising hematocrit) การตรวจทางรังสีวิทยา (imaging) อาจแสดงหลักฐานของน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด (pleural effusion) และน้ำในช่องท้อง (ascites) ซึ่งเกิดจากการเพิ่มขึ้นเฉียบพลันของการซึมผ่านผนังหลอดเลือด (vascular permeability)
โรคไข้เลือดออกเดงกีสามารถจำแนกความรุนแรงได้เป็น 4 ระดับ โดยระดับที่ III และ IV ถือว่าเป็นกลุ่มที่มีภาวะเดงกีช็อก (Dengue Shock Syndrome; DSS) ความแตกต่างระหว่างระดับที่ I และ II กับไข้เดงกี (dengue fever) คือ การปรากฏร่วมกันของภาวะเกล็ดเลือดต่ำ (thrombocytopenia) กับภาวะเลือดเข้มข้น (hemoconcentration)
ระดับ |
ลักษณะทางคลินิก |
ลักษณะทาง |
DHF Grade I |
มีลักษณะของโรคไข้เลือดออกเดงกี ร่วมกับ การทดสอบทูร์นิเกต์ ให้ผลบวก และ/หรือ มีรอยฟกช้ำได้ง่าย |
พบภาวะเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia ฮีมาโตคริตเพิ่มขึ้น หรือมีภาวะเลือดเข้มข้น ≥20%
|
DHF Grade II |
มีลักษณะเช่นเดียวกับ DHF Grade I ร่วมกับ มีภาวะเลือดออกผิดปกติได้เอง (spontaneous bleeding) |
|
DHF Grade III (DSS) |
มีลักษณะเช่นเดียวกับ DHF Grade II ร่วมกับ อาการล้มเหลวของระบบไหลเวียนโลหิต (signs of circulatory failure) |
|
DHF Grade IV (DSS) |
มีภาวะช็อกอย่างรุนแรง (profound shock) โดยไม่สามารถวัดความดันโลหิตหรือจับชีพจรได้ |
*DHF: Dengue Hemorrhagic Fever หรือโรคไข้เลือดออกเดงกี, DSS: Dengue Shock Syndrome หรือภาวะเดงกีช็อก
ผู้ป่วยที่มีภาวะเดงกีช็อก (Dengue Shock Syndrome, DSS) จะมีการไหลเวียนโลหิตล้มเหลว (circulatory failure) โดยผิวหนังจะเย็น มีสีไม่สม่ำเสมอ และดูอับชื้น มีอาการเขียวคล้ำรอบริมฝีปาก (circumoral cyanosis) ชีพจรเต้นเร็ว อ่อนแรง และช่วงความดันระหว่างค่าบนกับค่าล่าง (pulse pressure) แคบลง ร่วมกับความดันโลหิตต่ำและผิวหนังเย็นชืด (cold clammy skin) ในระยะแรกผู้ป่วยอาจมีอาการซึม แล้วเปลี่ยนเป็นกระสับกระส่าย และเข้าสู่ระยะวิกฤติของภาวะช็อกอย่างรวดเร็ว บางรายอาจมีอาการปวดท้องเฉียบพลันร่วมด้วย
จากการตรวจร่างกาย พบชีพจรเต้นเร็วและอ่อนแรง โดยมี pulse pressure แคบ (น้อยกว่า 20 mmHg) อาจตรวจพบภาวะน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด (pleural effusion) และน้ำในช่องท้อง (ascites) ได้ทั้งจากการตรวจร่างกายหรือการตรวจเอกซเรย์
นิยามของภาวะเดงกีช็อก พิจารณาจากการที่ผู้ป่วยมีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ของโรคไข้เลือดออกเด็งกี (Dengue Hemorrhagic Fever, DHF) ครบทั้ง 4 ข้อ ร่วมกับ มีหลักฐานแสดงถึงการไหลเวียนโลหิตล้มเหลว (circulatory failure) ดังต่อไปนี้:
- ชีพจรเต้นเร็วและเบา (rapid and weak pulse), หัวใจเต้นเร็ว (tachycardia)
- ช่วงความดันโลหิต (pulse pressure) แคบ (น้อยกว่า 20 mmHg) โดยมีความดันค่าล่าง (diastolic) เพิ่มขึ้น
- ความดันโลหิตต่ำกว่าค่ามาตรฐานตามช่วงอายุ (hypotension for age)
- มีผิวเย็นชืด (cold clammy skin), มีอาการกระสับกระส่าย (restlessness), หรือซึมลง (lethargy)