Content:
นิยาม (Definition)
Content on this page:
นิยาม (Definition)
ระบาดวิทยา (Epidemiology)
สาเหตุการเกิดโรค (Etiology)
พยาธิสรีรวิทยา (Pathophysiology)
Content on this page:
นิยาม (Definition)
ระบาดวิทยา (Epidemiology)
สาเหตุการเกิดโรค (Etiology)
พยาธิสรีรวิทยา (Pathophysiology)
นิยาม (Definition)
โรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ (atopic dermatitis) เป็นโรคผิวหนังอักเสบที่มีลักษณะเรื้อรัง เป็น ๆ หาย ๆ ที่เป็นผลมาจากพันธุกรรม โดยมีอาการสำคัญคือ อาการคันรุนแรง ผิวแห้ง ผิวอักเสบร่วมกับมีตุ่มน้ำ ซึ่งพบได้บ่อยในวัยทารกและเด็ก และอาจเป็นต่อเนื่องหรือเริ่มเป็นในวัยผู้ใหญ่ได้อีกด้วย โรคนี้มีชื่อเรียกอีกหลายชื่อ เช่น atopic eczema, eczema หรือ neurodermatitis
ระบาดวิทยา (Epidemiology)
โรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ส่งผลกระทบต่อประชากรโลกมากถึง 230 ล้านคน โดยถือเป็นหนึ่งในโรคผิวหนังที่พบได้บ่อยที่สุดซึ่งเกิดขึ้นได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ อีกทั้งยังเป็นโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังที่พบได้มากที่สุดทั่วโลก โดยมีอัตราการเกิดในเด็กประมาณ 13% และผู้ใหญ่ 7%
ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก พบว่าอัตราการเกิดโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ในเด็กอายุ 6–7 ปีสูงถึงประมาณ 10% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 7.9% เช่นเดียวกับในช่วงอายุ 2 ปี อัตราการเกิดโรคในประเทศแถบเอเชียแปซิฟิกก็สูงเช่นกันอยู่ที่ 7–27% อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มวัยรุ่นอายุ 13–14 ปี อัตราการเกิดโรคในประเทศแถบเอเชียแปซิฟิกลดลงมาอยู่ที่ 3–5% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 7%
นอกจากนี้ อัตราการเกิดโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในประเทศรายได้น้อยและปานกลาง เช่น ในมาเลเซียพบว่าอัตราการเกิดโรคในช่วง 12 เดือน เพิ่มขึ้นจาก 9.5% (ปี ค.ศ. 1994–1995) เป็น 12.6% (ปี ค.ศ. 2002–2003) โดยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 0.49% ประเทศอื่น ๆ อย่างเช่น จีน เกาหลี และอินเดีย ก็มีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน
ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก พบว่าอัตราการเกิดโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ในเด็กอายุ 6–7 ปีสูงถึงประมาณ 10% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 7.9% เช่นเดียวกับในช่วงอายุ 2 ปี อัตราการเกิดโรคในประเทศแถบเอเชียแปซิฟิกก็สูงเช่นกันอยู่ที่ 7–27% อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มวัยรุ่นอายุ 13–14 ปี อัตราการเกิดโรคในประเทศแถบเอเชียแปซิฟิกลดลงมาอยู่ที่ 3–5% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 7%
นอกจากนี้ อัตราการเกิดโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในประเทศรายได้น้อยและปานกลาง เช่น ในมาเลเซียพบว่าอัตราการเกิดโรคในช่วง 12 เดือน เพิ่มขึ้นจาก 9.5% (ปี ค.ศ. 1994–1995) เป็น 12.6% (ปี ค.ศ. 2002–2003) โดยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 0.49% ประเทศอื่น ๆ อย่างเช่น จีน เกาหลี และอินเดีย ก็มีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน
สาเหตุการเกิดโรค (Etiology)
สาเหตุที่พบบ่อยของโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ ได้แก่ สารก่อภูมิแพ้ เช่น อาหาร สบู่ ผงซักฟอก สารก่อภูมิแพ้ที่สูดดม และการติดเชื้อที่ผิวหนัง
พยาธิสรีรวิทยา (Pathophysiology)
พันธุกรรม (80% ในฝาแฝดที่มีไข่เดียวกันและ 20% ในฝาแฝดที่มีไข่ต่างกัน) มีอิทธิพลต่อโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ ซึ่งผู้ป่วยบางรายพบว่ามีการสร้าง IgE เพิ่มขึ้น การกลายพันธุ์ของยีน filaggrin (FLG) ทำให้ขาดโปรตีน FLG ซึ่งปกติจะถูกย่อยที่ชั้นผิวหนัง stratum corneum และผลิต natural moisturizing factor (NMF) เพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง รวมถึงความบกพร่องของชั้นผิวหนังหรือส่วนประกอบที่ช่วยปกป้องผิวหนังหรือเก็บกักความชุ่มชื้น ซึ่งทำให้เกิดผิวแห้งจากความผิดปกติในการเผาผลาญไขมันและการสร้างโปรตีน ทำให้สารก่อภูมิแพ้ แอนติเจน และสารเคมีจากสิ่งแวดล้อมสัมผัสหรือเข้าสู่ผิวหนังได้ง่าย
นอกจากนี้ความผิดปกติของการตั้งรกรากของจุลินทรีย์ (microbial colonization) ที่เกิดจากความบกพร่องของชั้นผิวหนังและการกดภูมิคุ้มกันโดยกำเนิดของผิวหนังโดยไซโตไคน์ชนิดที่ 2 (type 2 cytokines) ส่งผลให้มีความไวต่อการติดเชื้อที่ผิวหนังจากเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus aureus หรือ epidermidis, เชื้อรา Malassezia furfur และเชื้อไวรัส (เช่น เริม หรือหูดข้าวสุก) นอกจากนี้ การตั้งรกรากของ Staphylococcus aureus ส่งผลให้ความหลากหลายของไมโครไบโอมที่ผิวหนัง (skin microbiome) ลดลง และสัมพันธ์กับการเกิดโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้อย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ความผิดปกติของการตั้งรกรากของจุลินทรีย์ (microbial colonization) ที่เกิดจากความบกพร่องของชั้นผิวหนังและการกดภูมิคุ้มกันโดยกำเนิดของผิวหนังโดยไซโตไคน์ชนิดที่ 2 (type 2 cytokines) ส่งผลให้มีความไวต่อการติดเชื้อที่ผิวหนังจากเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus aureus หรือ epidermidis, เชื้อรา Malassezia furfur และเชื้อไวรัส (เช่น เริม หรือหูดข้าวสุก) นอกจากนี้ การตั้งรกรากของ Staphylococcus aureus ส่งผลให้ความหลากหลายของไมโครไบโอมที่ผิวหนัง (skin microbiome) ลดลง และสัมพันธ์กับการเกิดโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้อย่างมีนัยสำคัญ