Hepatitis B โรคตับอักเสบบี Disease Background

Last updated: 09 December 2025

Content on this page:

Content on this page:

บทนำ

ไวรัสตับอักเสบบีในมนุษย์อยู่ใน family Hepadnaviridae ซึ่งเป็น DNA virus ขนาดเล็ก มีเยื่อหุ้ม และมีความจำเพาะต่อเซลล์ตับเป็นหลัก ไวรัสจะจำลองตัวเองภายในร่างกายของผู้ติดเชื้อ และประกอบตัวเป็นอนุภาคไวรัสเฉพาะในเซลล์ตับ (hepatocytes) โดยไวรัสจะถูกปล่อยออกจากเซลล์ผ่านทางระบบการหลั่งของเซลล์ (cell secretory pathway) โดยไม่ทำลายเซลล์ (noncytopathically) ไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง หมายถึงโรคตับอักเสบที่มีการอักเสบและตายของเซลล์ตับอย่างต่อเนื่อง และการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรังจะได้รับการวินิจฉัยเมื่อผู้ป่วยมีผลตรวจ HBsAg (hepatitis B surface antigen) เป็นบวกนานเกินกว่า 6 เดือน 

ไวรัสตับอักเสบดี (Hepatitis D Virus) 
ไวรัสตับอักเสบดี อาศัยการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี เพื่อใช้ในการจำลองตัวเอง โรคที่เกิดจากไวรัสตับอักเสบดีอาจเป็นแบบเฉียบพลันหรือเรื้อรัง โดยอาจเกิดร่วมกับการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีในเวลาเดียวกัน (coinfection) หรือเกิดภายหลังในผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีอยู่แล้ว (superinfection) ไวรัสตับอักเสบดีเรื้อรัง ถือเป็นรูปแบบที่รุนแรงที่สุดของไวรัสตับอักเสบ เนื่องจากมีการดำเนินโรคไปสู่ภาวะตับแข็งหรือตับมะเร็งอย่างรวดเร็ว การติดเชื้อร่วมแบบเฉียบพลันของ ไวรัสตับอักเสบบี/ไวรัสตับอักเสบดี อาจหายได้เองโดยไม่ต้องรักษา แต่ในกรณี superinfection อาจนำไปสู่การดำเนินโรคอย่างรวดเร็ว โดยประมาณ 70–80% ของผู้ป่วยจะเกิดภาวะตับแข็งและตับวายภายใน 5–10 ปี และประมาณ 15% อาจเกิดภาวะดังกล่าวภายใน 1–2 ปี 

ไวรัสตับอักเสบดี ส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยประมาณ 5% ของผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง ทั่วโลกมีรายงานอัตราการแพร่ระบาดของการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบดีระดับสูงในหลายประเทศ ได้แก่ ประเทศในแอฟริกาตะวันตกและแอฟริกากลาง ยุโรปตะวันออกและยุโรปใต้ ตะวันออกกลาง และเอเชียตะวันออก 

ระบาดวิทยา

ไวรัสตับอักเสบบีส่งผลกระทบต่อประชากรประมาณ 296 ล้านคนทั่วโลก โดยมีอัตราการแพร่ระบาดในระดับปานกลางถึงสูงในทวีปเอเชีย ซึ่งคิดเป็นประมาณสามในสี่ของผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรังทั่วโลก และเกือบครึ่งหนึ่งของผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรังทั่วโลกมาจากภูมิภาคแปซิฟิกตะวันตก (Western Pacific) ซึ่งประกอบด้วย 37 ประเทศ รวมถึงจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ตามรายงานขององค์การอนามัยโลก (WHO) สำหรับอัตราการแพร่ระบาดของการติดเชื้อ ไวรัสตับอักเสบบี ในทวีปเอเชีย ณ ปี ค.ศ. 2019 ตามรายงานของ WHO พบว่า ในเอเชียตะวันออก (East Asia) มีอัตราการแพร่ระบาดอยู่ระหว่าง 2.95–10.47% โดยประเทศที่มีอัตราสูงที่สุดคือ เกาหลีเหนือ ในขณะที่เอเชียใต้ (South Asia) มีอัตราการแพร่ระบาดอยู่ระหว่าง 1.12–2.93% โดยประเทศที่มีอัตราสูงที่สุดคือ อินเดีย 

ในประเทศจีน มีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง ประมาณ 70–80 ล้านคน ตามข้อมูลของ WHO พบว่าในฮ่องกง มีความชุกของผู้ที่มีผลตรวจ HBsAg เป็นบวกในประชากรทั่วไปอยู่ที่ 7.8% ขณะที่ความชุกที่ปรับค่าตามอายุและเพศอยู่ที่ 7.2% สำหรับการศึกษาขนาดใหญ่เกี่ยวกับการตรวจภูมิคุ้มกันในอินเดีย มีความชุกของผู้ที่มีผลตรวจ HBsAg เป็นบวกอยู่ระหว่าง 1.1–12.2% และคาดว่ามีผู้ติดเชื้อเรื้อรังประมาณ 40 ล้านคน ในเกาหลี พบความชุกของผู้ที่มีผลตรวจ HBsAg เป็นบวกลดลงเหลือ 3% ในปี ค.ศ. 2008  

ในมาเลเซีย มีผู้ป่วยทั้งหมด 35,861 รายที่ได้รับรายงานต่อกระทรวงสาธารณสุขในปี ค.ศ. 2017 โดยมีอัตราการเกิดโรคอยู่ที่ 12.65 ต่อประชากร 100,000 คนในปี ค.ศ. 2015 ส่วนพม่าซึ่งเป็นหนึ่งใน 28 ประเทศที่ WHO จัดให้เป็นประเทศเป้าหมายในการป้องกันและควบคุมไวรัสตับอักเสบ โดยมีผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบี ประมาณ 3.3 ล้านคน สำหรับในฟิลิปปินส์ ไวรัสตับอักเสบบีก็มีการแพร่ระบาดในระดับสูงเช่นกัน โดยส่งผลกระทบต่อประชากรทั่วไปประมาณ 16.7% หรือประมาณ 7.3 ล้านคนในปี ค.ศ. 2013 ส่วนในเวียดนาม คาดว่าอัตราการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง อยู่ระหว่าง 8–25% โดย WHO ประเมินว่าอัตราการแพร่ระบาดอยู่ที่ประมาณ 8.1% หรืออย่างน้อย 7.7 ล้านคน 

การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง อาจเกิดขึ้นได้ในเกือบครึ่งหนึ่งของเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 6 ปี และเกิดน้อยกว่า 5% ในผู้ใหญ่ การติดเชื้อร่วมของไวรัสตับอักเสบบีกับเอชไอวี ส่งผลกระทบต่อประชากรทั่วโลกประมาณ 2.7 ล้านคน 

พยาธิสรีรวิทยา

ในระยะเฉียบพลันของการติดเชื้อ ผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีจะมีการสร้าง nucleocapsid proteins บนเยื่อหุ้มเซลล์ของเซลล์ตับ เช่น HBcAg หรือ HBeAg (สร้างน้อยกว่า) ซึ่งทำหน้าที่เป็นแอนติเจนของไวรัส แอนติเจนเหล่านี้จะถูกจดจำโดย cytolytic T-cells ที่มีหน้าที่กำจัดแอนติเจนของไวรัส แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดความเสียหายต่อเซลล์ตับด้วย ผู้ป่วยบางรายสามารถฟื้นตัวจากการติดเชื้อเฉียบพลันได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยบางรายอาจมีความสามารถแตกต่างออกไปหรือเกิดความบกพร่องขึ้นในการตอบสนองหรือการทำงานของ cytolytic T-cells รวมถึงการผลิตไซโตไคน์ต้านไวรัส ทำให้พัฒนาไปสู่ภาวะไวรัสตับอักเสบเรื้อรังได้ 

การจำแนกโรค

ระยะของโรคตับอักเสบบีเรื้อรัง 

การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรังชนิด HBeAg-positive (ระยะ immune-tolerant) มีลักษณะดังนี้: 
  • มี HBeAg ในเลือด
  • ระดับ hepatitis B virus (HBV) DNA  ในเลือดสูงมาก 
  • ค่า alanine transferase (ALT) อยู่ในช่วงปกติอย่างต่อเนื่อง (<19 U/L สำหรับผู้หญิง และ <30 U/L สำหรับผู้ชาย) หรือเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย 
  • มีการอักเสบของตับ (necroinflammation) หรือพังผืดในตับ (fibrosis) น้อยมากหรือไม่มีเลย 
  • มักพบในผู้ป่วยที่ติดเชื้อตั้งแต่แรกเกิด (perinatally infected) และระยะนี้มักยาวนาน โดยมีการทำงานของ HBV-specific T cells ที่ยังคงอยู่จนถึงวัยผู้ใหญ่ตอนต้น 
  • ผู้ป่วยในระยะนี้สามารถแพร่เชื้อได้สูง เนื่องจากมีระดับ HBV DNA ในเลือดสูงมาก 

การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรังชนิด HBeAg-positive (ระยะ immune-active HBeAg-positive) 
มีลักษณะดังนี้: 
  • มี HBeAg ในเลือด 
  • ระดับ HBV DNA สูง 
  • ค่า ALT สูงกว่าปกติ 
  • มีการอักเสบของตับ (necroinflammation) ในระดับปานกลางถึงรุนแรง และมีการเกิดพังผืดในตับ (fibrosis) ที่รวดเร็ว 
  • มักพบในผู้ป่วยที่ติดเชื้อเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ 
  • ผู้ป่วยบางรายอาจเกิด HBeAg seroconversion และมีการกดระดับ HBV DNA ซึ่งนำไปสู่ระยะ HBeAg-negative infection ขณะที่บางรายไม่สามารถควบคุมเชื้อ HBV ได้ และเข้าสู่ระยะ HBeAg-negative chronic hepatitis B เป็นเวลาหลายปี 

การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรังชนิด HBeAg-negative (ระยะ inactive carrier) 
มีลักษณะดังนี้:
  • ไม่มี HBeAg ในเลือด 
  • ระดับ HBV DNA ตรวจไม่พบหรืออยู่ในระดับต่ำ (<2,000 IU/mL) 
  • ค่า ALT อยู่ในเกณฑ์ปกติ 
  • มีการอักเสบของตับ (necroinflammation) น้อย และมีพังผืด (fibrosis) ในระดับที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นผลจากการบาดเจ็บของตับในระยะ HBeAg-positive immune-active 
  • มีความเสี่ยงต่ำในการพัฒนาเป็นโรคตับแข็ง (cirrhosis) หรือมะเร็งตับ (hepatocellular carcinoma; HCC) แต่ยังอาจพัฒนาไปสู่ chronic hepatitis B (CHB) ได้ 

การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรังชนิด HBeAg-negative (ระยะ HBeAg-negative immune reactivation)
 มีลักษณะดังนี้: 
  • ไม่มี HBeAg ในเลือด โดยมักตรวจพบ anti-HBe 
  • ระดับ HBV DNA ในเลือดอยู่ในระดับปานกลางถึงสูง และมีความผันผวนหรือคงอยู่ 
  • ค่า ALT ผันผวนหรือสูงอย่างต่อเนื่อง 
  • มีการอักเสบของตับ (necroinflammation) และพังผืด (fibrosis) 
  • มีอัตราการหายจากโรคเองตามธรรมชาติในระดับต่ำ 

การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีชนิดแฝง (HBsAg-negative หรือ occult hepatitis B virus infection) 
  • ตรวจไม่พบ HBsAg ในเลือด แต่ตรวจพบแอนติบอดีต่อ HBcAg และอาจมีหรือไม่มีแอนติบอดีต่อ HBsAg 
  • ค่า ALT อยู่ในเกณฑ์ปกติ 
  • โดยทั่วไปมักตรวจไม่พบ HBV DNA ในเลือด แต่ไม่เสมอไป 
  • ในตับมักตรวจพบ HBV DNA ในรูปแบบ covalently closed circular DNA (cccDNA) 
  • หลายการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยเกือบทั้งหมดที่มี occult hepatitis B virus infection จะมีค่าการทำงานของตับปกติ และมีการอักเสบหรือพังผืดในตับน้อยมากหรือไม่มีเลย 
  • อย่างไรก็ตาม อาจยังมีความเกี่ยวข้องกับการพัฒนาเป็นโรคตับแข็งและมะเร็งตับ