Content:
อาการแสดงทางคลินิก
Content on this page:
อาการแสดงทางคลินิก
การซักประวัต
การตรวจคัดกรอง
Content on this page:
อาการแสดงทางคลินิก
การซักประวัต
การตรวจคัดกรอง
อาการแสดงทางคลินิก
การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเฉียบพลันส่วนใหญ่มักไม่แสดงอาการ หรืออาจแสดงอาการแบบไม่มีดีซ่าน (anicteric illness) ซึ่งอาจไม่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคตับอักเสบ
ไวรัสตับอักเสบเอ (hepatitis A) มักทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยในเด็ก โดยมากกว่า 80% ของการติดเชื้อจะไม่แสดงอาการ และผู้ใหญ่มีแนวโน้มที่จะแสดงอาการทางคลินิกมากกว่า อาการมักคงอยู่ไม่เกิน 2 เดือน อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยบางรายอาจมีการติดเชื้อที่ยืดเยื้อหรือมีอาการกลับมาเป็นซ้ำได้
ไวรัสตับอักเสบบี ซี และดี อาจไม่แสดงอาการเช่นกัน การแสดงอาการของไวรัสตับอักเสบบี จะขึ้นอยู่กับวิธีและช่วงเวลาของการติดเชื้อ การติดเชื้อจากแม่สู่ลูก (vertical transmission) มักไม่แสดงอาการเกือบทั้งหมด ในขณะที่การติดเชื้อในช่องทางอื่นมีแนวโน้มที่จะแสดงอาการมากกว่า (เช่น 30% ของผู้ติดเชื้อจากการใช้ยาเสพติดทางหลอดเลือดดำ [IV drug use] จะมีอาการดีซ่าน)
ไวรัสตับอักเสบอี มักไม่แสดงอาการ และผู้ที่มีอาการมักเป็นวัยรุ่นตอนปลายหรือผู้ใหญ่ตอนต้น อาการนอกตับ (extrahepatic manifestations) ที่พบได้ เช่น กลุ่มอาการ Guillain-Barré, Parsonage-Turner syndrome, neuralgic amyotrophy, bilateral brachial neuritis, peripheral neuropathy, encephalitis, membranoproliferative glomerulonephritis (ที่มีหรือไม่มี cryoglobulinemia), membranous glomerulonephritis, acute pancreatitis, อาการผิดปกติทางระบบภูมิคุ้มกันอื่น ๆ (เช่น myocarditis, arthritis, thyroiditis) และ thrombocytopenia ผู้ป่วยบางรายอาจมีการจำลองไวรัสตับอักเสบอีอย่างต่อเนื่อง และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือมีโรคตับเรื้อรังมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบอีแบบเรื้อรังที่พบไวรัสในเลือด (viremia) นานเกิน 6 เดือน
ในระยะก่อนมีดีซ่าน (preicteric phase) ผู้ป่วยอาจมีอาการทั่วไปที่ไม่เฉพาะเจาะจง เช่น ปวดกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ อาเจียน เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย รู้สึกไม่สบายบริเวณชายโครงขวา การรับกลิ่นหรือรสเปลี่ยนไป คัดจมูก แพ้แสง ปวดศีรษะ ไอ ท้องเสีย ปัสสาวะสีเข้ม และอาการคล้าย serum sickness อาจพบตับโต ม้ามโต และต่อมน้ำเหลืองโต ในระยะที่มีดีซ่าน (icteric phase) มักพบดีซ่านหลังจากมีไข้หรือเมื่อไข้ลดลง
หากเกิดภาวะตับวายเฉียบพลัน (fulminant hepatitis) จะมีอาการของ hepatic encephalopathy เช่น สับสน ง่วงซึม ภายใน 8 สัปดาห์หลังเริ่มมีอาการ หรือภายใน 2 สัปดาห์หลังเริ่มมีดีซ่าน อาจพบภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (hypoglycemia) และค่า prothrombin time (PT) ที่ยาวนานขึ้น
ช่องทางการแพร่เชื้อของไวรัสตับอักเสบจะแตกต่างกันตามชนิด:
Hepatitis B_Initial Assessment 1
ระยะฟักตัวของไวรัสตับอักเสบจะแตกต่างกันไปตามชนิดของไวรัส ไวรัสตับอักเสบเอมีระยะฟักตัว 15 ถึง 50 วัน ไวรัสตับอักเสบบี มีระยะฟักตัว 30 ถึง 180 วัน ไวรัสตับอักเสบซี มีระยะฟักตัว 14 ถึง 180 วัน ไวรัสตับอักเสบดี มีระยะฟักตัว 30 ถึง 180 วัน ไวรัสตับอักเสบอี มีระยะฟักตัว 15 ถึง 60 วัน
ไวรัสตับอักเสบบี มีกรดนิวคลีอิกชนิด DNA ในขณะที่ไวรัสตับอักเสบเอ ซี และอี มีกรดนิวคลีอิกชนิด RNA ส่วนไวรัสตับอักเสบดี มี RNA ที่ไม่สมบูรณ์ และต้องอาศัยไวรัสตับอักเสบบีในการจำลองตัวเอง ไวรัสตับอักเสบเอ และอี มักก่อให้เกิดการระบาดในชุมชน (epidemics) ในขณะที่ไวรัสตับอักเสบบี ซี และดี อาจทำให้เกิดโรคเรื้อรังและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับ
Hepatitis B_Initial Assessment 2
ไวรัสตับอักเสบเอ (hepatitis A) มักทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยในเด็ก โดยมากกว่า 80% ของการติดเชื้อจะไม่แสดงอาการ และผู้ใหญ่มีแนวโน้มที่จะแสดงอาการทางคลินิกมากกว่า อาการมักคงอยู่ไม่เกิน 2 เดือน อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยบางรายอาจมีการติดเชื้อที่ยืดเยื้อหรือมีอาการกลับมาเป็นซ้ำได้
ไวรัสตับอักเสบบี ซี และดี อาจไม่แสดงอาการเช่นกัน การแสดงอาการของไวรัสตับอักเสบบี จะขึ้นอยู่กับวิธีและช่วงเวลาของการติดเชื้อ การติดเชื้อจากแม่สู่ลูก (vertical transmission) มักไม่แสดงอาการเกือบทั้งหมด ในขณะที่การติดเชื้อในช่องทางอื่นมีแนวโน้มที่จะแสดงอาการมากกว่า (เช่น 30% ของผู้ติดเชื้อจากการใช้ยาเสพติดทางหลอดเลือดดำ [IV drug use] จะมีอาการดีซ่าน)
ไวรัสตับอักเสบอี มักไม่แสดงอาการ และผู้ที่มีอาการมักเป็นวัยรุ่นตอนปลายหรือผู้ใหญ่ตอนต้น อาการนอกตับ (extrahepatic manifestations) ที่พบได้ เช่น กลุ่มอาการ Guillain-Barré, Parsonage-Turner syndrome, neuralgic amyotrophy, bilateral brachial neuritis, peripheral neuropathy, encephalitis, membranoproliferative glomerulonephritis (ที่มีหรือไม่มี cryoglobulinemia), membranous glomerulonephritis, acute pancreatitis, อาการผิดปกติทางระบบภูมิคุ้มกันอื่น ๆ (เช่น myocarditis, arthritis, thyroiditis) และ thrombocytopenia ผู้ป่วยบางรายอาจมีการจำลองไวรัสตับอักเสบอีอย่างต่อเนื่อง และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือมีโรคตับเรื้อรังมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบอีแบบเรื้อรังที่พบไวรัสในเลือด (viremia) นานเกิน 6 เดือน
ในระยะก่อนมีดีซ่าน (preicteric phase) ผู้ป่วยอาจมีอาการทั่วไปที่ไม่เฉพาะเจาะจง เช่น ปวดกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ อาเจียน เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย รู้สึกไม่สบายบริเวณชายโครงขวา การรับกลิ่นหรือรสเปลี่ยนไป คัดจมูก แพ้แสง ปวดศีรษะ ไอ ท้องเสีย ปัสสาวะสีเข้ม และอาการคล้าย serum sickness อาจพบตับโต ม้ามโต และต่อมน้ำเหลืองโต ในระยะที่มีดีซ่าน (icteric phase) มักพบดีซ่านหลังจากมีไข้หรือเมื่อไข้ลดลง
หากเกิดภาวะตับวายเฉียบพลัน (fulminant hepatitis) จะมีอาการของ hepatic encephalopathy เช่น สับสน ง่วงซึม ภายใน 8 สัปดาห์หลังเริ่มมีอาการ หรือภายใน 2 สัปดาห์หลังเริ่มมีดีซ่าน อาจพบภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (hypoglycemia) และค่า prothrombin time (PT) ที่ยาวนานขึ้น
ช่องทางการแพร่เชื้อของไวรัสตับอักเสบจะแตกต่างกันตามชนิด:
- ไวรัสตับอักเสบเอ แพร่ผ่านทางปาก-อุจจาระ (เช่น การรับประทานอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อน), การสัมผัสระหว่างบุคคล หรือการมีเพศสัมพันธ์
- ไวรัสตับอักเสบบี แพร่ผ่านการคลอด, ทางผิวหนัง (percutaneous), การมีเพศสัมพันธ์ หรือการสัมผัสใกล้ชิด (เช่น แผลเปิด)
- ไวรัสตับอักเสบซี แพร่ผ่านการถ่ายเลือด, การปลูกถ่ายอวัยวะ, ทางผิวหนัง (โดยเฉพาะการใช้ยา IV), การมีเพศสัมพันธ์ หรือทางการคลอด
- ไวรัสตับอักเสบดี แพร่ผ่านการมีเพศสัมพันธ์, ทางผิวหนัง (โดยเฉพาะการใช้ยา IV), หรือการสัมผัสเยื่อเมือกกับเลือดหรือสารคัดหลั่งที่ติดเชื้อ โดยพบเฉพาะในผู้ที่ติดเชื้อ Hepatitis B เนื่องจากต้องอาศัยเปลือกนอกของไวรัสตับอักเสบบี
- ไวรัสตับอักเสบอี แพร่ผ่านทางปาก-อุจจาระ (การรับประทานอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อน) หรือการถ่ายเลือดในพื้นที่ที่มีการระบาด
Hepatitis B_Initial Assessment 1ระยะฟักตัวของไวรัสตับอักเสบจะแตกต่างกันไปตามชนิดของไวรัส ไวรัสตับอักเสบเอมีระยะฟักตัว 15 ถึง 50 วัน ไวรัสตับอักเสบบี มีระยะฟักตัว 30 ถึง 180 วัน ไวรัสตับอักเสบซี มีระยะฟักตัว 14 ถึง 180 วัน ไวรัสตับอักเสบดี มีระยะฟักตัว 30 ถึง 180 วัน ไวรัสตับอักเสบอี มีระยะฟักตัว 15 ถึง 60 วัน
ไวรัสตับอักเสบบี มีกรดนิวคลีอิกชนิด DNA ในขณะที่ไวรัสตับอักเสบเอ ซี และอี มีกรดนิวคลีอิกชนิด RNA ส่วนไวรัสตับอักเสบดี มี RNA ที่ไม่สมบูรณ์ และต้องอาศัยไวรัสตับอักเสบบีในการจำลองตัวเอง ไวรัสตับอักเสบเอ และอี มักก่อให้เกิดการระบาดในชุมชน (epidemics) ในขณะที่ไวรัสตับอักเสบบี ซี และดี อาจทำให้เกิดโรคเรื้อรังและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับ
Hepatitis B_Initial Assessment 2การซักประวัต
ประเด็นสำคัญในการซักประวัติทางคลินิกของผู้ป่วยที่สงสัยว่าเป็นไวรัสตับอักเสบ:
- การสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีอาการดีซ่าน
- การใช้ยาเสพติดทางหลอดเลือดดำ (Intravenous drug use)
- ประวัติการรับเลือด (Blood transfusion)
- การผ่าตัดหรือการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
- ประวัติครอบครัวที่มีโรคตับเรื้อรัง อาชีพ (Occupation)
- แหล่งอาหารและน้ำที่บริโภค
- การดื่มแอลกอฮอล์
- การอพยพมาจากประเทศที่มีอัตราการติดเชื้อ Hepatitis B หรือ Hepatitis D สูง
การตรวจคัดกรอง
คำแนะนำในการคัดกรองการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง ควรมีการคัดกรองในกลุ่มบุคคลต่อไปนี้ ได้แก่ สมาชิกในครอบครัว คู่นอนและผู้ใช้ยาเสพติดร่วมกับผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง ผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย (men who have sex with men, MSM) ผู้ติดเชื้อ HIV หญิงตั้งครรภ์ ผู้บริจาคเลือด พลาสมา อวัยวะ เนื้อเยื่อ หรืออสุจิ ทารกที่เกิดจากมารดาที่มีผล HBsAg เป็นบวก ผู้ป่วยที่ได้รับการฟอกไต (hemodialysis) ผู้ที่ได้รับเคมีบำบัดหรือยากดภูมิคุ้มกัน ผู้ป่วยที่มีค่า AST/ALT สูงโดยไม่ทราบสาเหตุ ผู้ต้องขังในเรือนจำ บุคคลที่เกิดในประเทศที่มีอัตราการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ≥2%
